ไตรลักษณ์ คืออะไร? ชวนเข้าใจธรรมะลึกซึ้งขึ้นแบบไม่ต้องท่องจำ แต่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันกัน !
ไตรลักษณ์ คืออะไร ชวนรู้จักและเข้าใจหนึ่งในหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้มากขึ้น คืออะไร มีอะไรบ้าง พร้อมแนวทางการเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงกัน
ถ้าใครเป็นพุทธศาสนิกชนและนับถือศาสนาพุทธ คงจะได้ยินคำสอนในทางพุทธศาสนากันมาบ้างไม่มากก็น้อย เช่น หลักสัปปุริสธรรม 7 สัปปายะสถาน อริยสัจ 4 อริยทัพย์ 7 ประการ หรือคำสอนธรรมดาๆ ที่ได้ยินกันอย่างแพร่หลาย อย่างการปล่อยวาง ไม่ยึดตัด ไม่ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งคำๆ นี้ เป็นคำที่เรียบง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เสียทีเดียว แท้จริงแล้วการ ปล่อยวาง คือ อะไร ทำยังไง แล้วจะส่งผลดีอย่างไรกับเรา ในบทความนี้ DIYINSPIRENOW จะพาไปทำความเข้าใจกันค่ะ
โดยปกติของมนุษย์ปุถุชนแล้ว มักจะมีการแบกเรื่องต่างๆ ไว้ในจิตใจอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเงิน เรื่องปัญหาภายในครอบครัว เรื่องความรักความสัมพันธ์ ไปจนถึงปัญหาเรื่องการเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม เป็นเหตุให้ต้องขบคิดกับปัญหานั้นๆ และก่อให้เกิดความรู้สึกหนักอกหนักใจอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นการยึดมั่นถือมั่นอย่างหนึ่งก็ว่าได้ ซึ่งการยึดมั่นถือมั่นนี้ จะทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ อึดอัดคับข้องใจ มีความกังวล หนักอกหนักใจ คล้ายกับกำลังแบกอะไรไว้อยู่ตลอดเวลา และการปล่อยวาง คือวิธีที่จะทำให้เรามีความสบายใจและรู้สึกเบาใจขึ้นนั่นเองค่ะ เรามาทำความเข้าใจ พร้อมนำวิธีปล่อยวางไปฝึกใช้ในชีวิตประจำวันกัน
ปล่อยวาง คือ การไม่ยึดติด กับสิ่งที่ทำให้ใจเราหนัก ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก ความผิดหวัง หรือแม้แต่ความคาดหวังที่เราแบกไว้ แต่ไม่ได้แปลว่า “ไม่สนใจ” หรือ “ไม่แคร์อะไรเลย” จะหมายถึง “การยอมรับและปล่อยให้มันเป็นไป” โดยไม่ให้มันมามีอิทธิพลกับใจเรามากเกินไป เช่น ถ้าเราทำผิดพลาด แทนที่จะจมอยู่กับความรู้สึกผิดหรือโทษตัวเองไม่หยุด เราแค่เรียนรู้จากมัน แล้วเดินหน้าต่อ แบบนี้แหละคือการปล่อยวาง หรือถ้าคนอื่นพูดไม่ดีใส่เรา แทนที่จะเก็บมาคิดให้ปวดหัว ลองคิดว่า “นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่ของเรา” แล้วปล่อยไป แบบนี้ก็เป็นการปล่อยวางเหมือนกัน สรุปง่ายๆ ก็คือ “ไม่แบกสิ่งที่ไม่จำเป็น ให้ใจเราสบายขึ้น” นั่นเองค่ะ
พระพุทธเจ้าเคยกล่าวเอาไว้ว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่าไตรลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักความจริงของชีวิต 3 อย่าง ที่ถ้าเข้าใจแล้วจะช่วยให้เราปล่อยวางได้ง่ายขึ้น มาทำความเข้าใจแต่ละส่วนกันนะคะ
ถ้าเข้าใจไตรลักษณ์ เราจะปล่อยวางได้ง่ายขึ้น เพราะรู้ว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง (อนิจจัง) ทำให้เราไม่ยึดติด เพราะยึดติดมาก จะเท่ากับทุกข์มาก (ทุกขัง) ให้ลดความคาดหวัง และ เราไม่ได้ควบคุมทุกอย่าง (อนัตตา) ก็ให้เลิกพยายามบังคับสิ่งต่างๆ ซึ่งเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราจะเลิกแบกสิ่งที่ไม่จำเป็น ยอมรับความเป็นไปของชีวิต และอยู่กับปัจจุบันได้อย่างสบายใจนั่นเอง
การปล่อยวางทำให้เราไม่ต้องแบกความกังวลหรือความคิดลบๆ ที่เกิดจากสิ่งต่างๆ ในชีวิต เช่น ความผิดหวัง ความไม่สมหวัง หรือความกลัวการสูญเสีย เมื่อเราหยุดยึดติดกับความคิดเหล่านี้ เราจะรู้สึกว่า ใจเรามีพื้นที่มากขึ้น และไม่รู้สึกหนักใจหรือตึงเครียดตลอดเวลา
ทุกครั้งที่เรายึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง เช่น ความรัก ความสำเร็จ หรือสถานะ เราจะทุกข์เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไป แต่การปล่อยวางทำให้เรา รับรู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน ทุกสิ่งเกิดขึ้นและดับไปตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้เราลดความทุกข์จากการคาดหวังหรือความผิดหวังในสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้
เมื่อเราปล่อยวางจากการต่อต้านความเปลี่ยนแปลง เราจะสามารถ ยอมรับและปรับตัวได้ดีขึ้น เมื่อชีวิตหรือสถานการณ์เปลี่ยนไป เช่น การเสียงานหรือการสูญเสียคนรัก จะไม่ทำให้เราจมอยู่กับความทุกข์นานๆ เพราะเรารู้ว่าเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
การปล่อยวางช่วยให้เรา ไม่ยึดติดกับสิ่งที่คนอื่นคิดหรือทำ เมื่อไม่พยายามควบคุมหรือคาดหวังจากคนอื่น เราจะสามารถรับฟังและเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ของเรา เต็มไปด้วยความเข้าใจและการยอมรับ โดยไม่ต้องมีความเครียดหรือความขัดแย้งมากนัก
การปล่อยวางทำให้เรา ปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากใจ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อไม่ยึดติดกับความคาดหวังที่ไม่สมจริง หรือความคิดที่เป็นอุปสรรค เราจะสามารถรู้สึก ความสงบและความพอใจ ในสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน และยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
สรุปแล้ว การปล่อยวางคือการทำให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้น ลดความเครียด และทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบใจมากขึ้นนั่นเองค่ะ
ความจริง : การปล่อยวางไม่ได้แปลว่า “ไม่แคร์ ไม่สนใจอะไร” แต่หมายถึงการ ไม่ยึดติด กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เราสามารถตั้งใจทำสิ่งต่างๆ ได้เต็มที่ แต่เมื่อถึงจุดที่เกินกำลัง เราต้องรู้จักปล่อยมือ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย
ความจริง : การปล่อยวางไม่ใช่การ “ทำตัวไร้ความรู้สึก” หรือ “ห้ามโกรธ ห้ามเศร้า” เราสามารถรู้สึกได้ แต่ไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับอารมณ์นั้นนานๆ การมีสติและรู้ทันอารมณ์ของตัวเอง จะช่วยให้เราปล่อยวางความรู้สึกลบๆ ได้เร็วขึ้น
ความจริง : การปล่อยวางไม่ใช่การ “ยอมแพ้” แต่เป็นการยอมรับความจริงของชีวิต เราทำให้ดีที่สุดได้ แต่ไม่ควรฝืนหรือบังคับสิ่งที่เกินควบคุม เช่น ถ้าเราลงทุนแล้วขาดทุนแทนที่จะจมปลักกับความเสียใจ เราควรเรียนรู้และเดินหน้าต่อ
ความจริง : เราไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อปล่อยวาง แต่ต้องรู้จัก สมดุล ระหว่างความรัก ความสัมพันธ์ และความคาดหวัง เช่น รักใครสักคนได้ แต่ไม่ยึดติดจนทุกข์ หรือทำงานได้เต็มที่ แต่ไม่ต้องเครียดกับทุกอย่างจนหมดพลัง
ความจริง : การปล่อยวางไม่ได้หมายถึง “ไม่ทำอะไรเลย” แต่คือ “ทำเท่าที่ควร แล้วไม่ทุกข์กับผลลัพธ์” ถ้าเจอปัญหา เราสามารถหาทางแก้ไขได้ แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปหรือจมอยู่กับมันจนเสียสุขภาพจิต
ตอนนี้เราก็เข้าใจมากขึ้นแล้วว่า การปล่อยวาง คืออะไร ความหมายที่แท้จริงของการปล่อยวางคืออะไร การปล่อยวางจะทำให้เราเป็นทุกข์น้อยลง สุขได้มากขึ้น ด้วยใจที่เบาสบาย ไม่แบกความคิดความรู้สึกลบๆ เอาไว้ในใจ อันเกิดจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ ผู้คน สิ่งแวดล้อมโดยรอบ หรืออะไรก็ตาม ให้เราปลดปล่อยความเครียด ความวิตกกังวล ความอึดอัดคับข้องใจ และความไม่สบายใจออกไป แล้วเราจะสามารถฝึกใจให้ปล่อยวางได้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ
การฝึกเจริญสติอยู่เสมอจะทำให้เราปล่อยวางได้ การมีสติอยู่กับตัวจะทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน ไม่อาลัยกับอดีต ไม่กังวลกับอนาคต บางครั้งเรื่องยังไม่เกิดขึ้น แต่จิตของเราก็นึกปรุงแต่งไปในทางลบเสียแล้ว แต่ถ้ามีสติ เราจะอยู่กับความจริงในปัจจุบัน ไม่ปล่อยให้ใจจมอยู่กับอดีตหรือพะวงกับอนาคต เมื่อคิดกังวลเตลิดไปไกลก็มีสติสามารถดึงตัวเองมาอยู่กับปัจจุบันขณะได้ การมีสติจะช่วยให้เราปล่อยวางความคิดที่ทำให้เราเป็นทุกข์ได้มากขึ้น
การมีเมตตากรุณา หมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ไม่คิดทำร้ายกัน มีความรักใคร่ใจดีกับผู้อื่น มีความปรารถนาที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีความสงสารและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่กำลังมีความทุกข์กายทุกข์ใจ แล้วการมีเมตตากรุณาจะทำให้เราปล่อยวางได้อย่างไร ? การมีเมตตา จะทำให้เราไม่คิดร้ายกับผู้อื่นหรือคิดโกรธเคืองผู้อื่น ไม่ถือสาว่าความกันหากมีใครมาทำเกิดเกิดความขุ่นข้องหมองใจ การปล่อยวาง ธรรมะได้กล่าวเอาไว้ว่า “ความสุข เกิดจากจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ ” ถ้าเรามีจิตดี มีเมตตาต่อผู้อื่น และต่อตนเอง ไม่คิดเคียดแค้นผู้อื่นให้เกิดความทุกข์กับตัวเอง เหมือนกับเอาไฟมาสุมในอกตัวเอง เราก็จะปล่อยวางความโกรธแค้นได้จากการมีเมตตานั่นเองค่ะ
การปล่อยวาง ธรรมะได้กล่าวไว้ว่า “ธรรมดาของชีวิต มีแล้วก็กลับไม่มีได้ โลกสลับกันไปมา เหมือนมืดแล้วสว่าง อย่าเสียใจหรือดีใจกับสิ่งใดให้มากนัก” สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่การงาน ลาภยศเงินทอง แม้กระทั่งความรักความสัมพันธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงเป็นแค่สิ่งชั่วคราว แม้ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งๆ นั้นจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเราตายจากโลกนี้ไป (ซึ่งทุกคนจะต้องตาย) สิ่งที่เรายึดถือก็จะตายไปกับเราด้วย หากรู้สึกว่าใจยึดติดกับอะไร ทั้งสิ่งของ ตำแหน่งหน้าที่ สถานะทางสังคม ความรักความรู้สึก ให้ลองจินตนาการดูว่า อีก 100 ปีข้างหน้า สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่นี้จะเป็นอย่างไร จะยังคงอยู่ไหม เมื่อระรึกได้ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนไม่จีรังยั่งยืน ก็จะทำให้เราปล่อยวางได้ง่ายขึ้นค่ะ
เมื่อรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างขัดหูขัดตาเรา หรือไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เช่น คนรักไม่ได้ดั่งใจ ลูกไม่ได้ดั่งใจ พนักงานร้านอาหารไม่ได้ดั่งใจ ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดคับข้องใจ จนลืมตัวไปว่า ทำไมเราต้องใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้แล้วเก็บเอามาเป็นความทุกข์ ในเมื่อเทียบกันแล้ว ก็ยังมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นอีกมาก ซึ่งมีค่ามากกว่าการที่เราจะเอาเวลามานั่งเครียดนั่งหงุดหงิดกับการไม่ได้ดั่งใจ “ของตนเอง” เมื่อคิดได้ดังนี้ ก็จะปล่อยวางกับเรื่องหยุมหยิมได้มากขึ้นค่ะ
จุดประสงค์ที่แท้จริงของการปล่อยวางคือ การหยุดคาดการณ์และบังคับควบคุมอนาคต เพราะไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้ แม้ว่าเราจะเตรียมตัวเตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้วก็ตาม ดังนั้น แทนที่เราจะไปวิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ให้เราทำวันนี้ให้ดีที่สุด ซื่งก็เป็นรากฐานที่ดีของอนาคตในวันข้างหน้า ในเมื่อทำวันนี้ให้เต็มที่ ก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียดายเสียใจอีกต่อไป จงปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยกฏของเหตุและผล อย่างไรก็ตาม เราสามารถวางแผนและกำหนดเป้าหมายของตนเองได้ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะไม่เป็นไปตามแผนเสมอไป และถ้าที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตต่อไปนั่นเอง
มาช้อปออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูพลังใจให้แข็งแรงไปด้วยกัน !
Inspire Now ! : การปล่อยวางไม่ได้หมายความว่าเราต้องละทิ้งทุกสิ่ง แต่คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันโดยไม่แบกภาระทางใจเกินความจำเป็น ลองถามตัวเองดูว่า สิ่งที่เรากำลังยึดติดอยู่ตอนนี้ ทำให้เรามีความสุขจริงๆ หรือเปล่า ? บางครั้งเราอาจพยายามควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ จนทำให้ตัวเองเครียดและทุกข์โดยไม่รู้ตัว เมื่อเรายอมรับว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงได้ เราจะรู้สึกเบาขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ลองฝึกถามตัวเองกันดูนะคะว่า “วันนี้ มีอะไรที่เราสามารถ “ปล่อย” ได้บ้างมั้ยคะ ? “ |
---|
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันได้คำตอบใช่ไหม ? ใครมีวิธีปล่อยวางแบบไหน มาคอมเมนต์เล่าให้ฟัง แชร์วิธีกันบ้างนะคะ ♡
ไตรลักษณ์ คืออะไร ชวนรู้จักและเข้าใจหนึ่งในหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้มากขึ้น คืออะไร มีอะไรบ้าง พร้อมแนวทางการเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงกัน
การใช้ หลักสัปปุริสธรรม 7 ในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ยังไง ใครอยากเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นคนที่มีความสุข ชีวิตรุ่งเรื่องขึ้น อยากให้ลองฝึกกันค่ะ
ใครกำลังวุ่นวายใจ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการงาน การเงิน ความรัก ความสัมพันธ์ ลองมาดูธรรมะของ พระพุทธทาสภิกขุ คำสอนดีๆ ที่ใช้เรียนรู้ได้ทั้งชีวิต