ปกติ “ฝัน” กันบ่อยมั้ยคะ ? ไม่ใช่ฝันกลางวัน แต่เป็นการนอนหลับ แล้วฝันจริงๆ แล้วเคยสงสัยมั้ยคะว่า ทำไมถึงฝัน ความฝันเกิดจากอะไร ? ในบทความนี้ DIYINSPIRENOW จะชวนทุกคนเข้าไปทำความรู้จักกับโลกแห่งการฝันกันค่ะ ตามมาดูกันค่ะ
ฝันเกิดจาก อะไร ? ทำไมเราถึงฝัน ? มาเข้าใจการเกิดฝันของมนุษย์เรากัน !
ความฝัน คือ ประสบการณ์ทางจิตใจที่เกิดขึ้นระหว่างการหลับ โดยเป็นภาพ เสียง หรือเรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นในความคิด ความฝันอาจเป็นเพียงความคิดที่ฟุ้ง สับสน หรืออาจมีเนื้อหาที่สมจริง ซับซ้อน และมีเหตุผลบางอย่าง เรามาค่อยๆ เข้าสู่โลกแห่งความฝันไปด้วยกันนะคะ
ลักษณะของความฝัน เป็นยังไง ?
ความฝันมักเกิดขึ้นในช่วง REM (Rapid Eye Movement) ของการหลับ ซึ่งอาจเกิดได้หลายครั้งต่อคืน และแต่ละครั้งอาจมีระยะเวลาตั้งแต่เพียงไม่กี่วินาทีจนถึงนานกว่าชั่วโมง นอกจากนี้เนื้อหาของความฝันอาจเป็นเรื่องราวต่อเนื่อง หรือเป็นเหตุการณ์สับสนปนเปกัน ความฝันอาจเกิดจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ความกังวล ความปรารถนา หรือแม้แต่สิ่งที่ได้ยินหรือรับรู้ในขณะหลับ และแม้ว่าความฝันจะเป็นเพียงภาพในจิตใจ แต่ก็มีความสำคัญในเชิงจิตวิทยา เนื่องจากอาจสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำ หรือแม้แต่สุขภาพจิตของผู้นั้น นักจิตวิทยาจึงศึกษาความฝันเพื่อเข้าใจจิตใจและพฤติกรรมมนุษย์มากขึ้นนั่นเอง
FULI หมอนนวดคอไฟฟ้า รุ่น Cool Tech | FULI Cool Tech Massage Neck Pillow
ทำไมถึงฝัน ? แล้ว ฝันเกิดจาก อะไร ?
แม้ความฝันจะเป็นเรื่องธรรมชาติของการนอนหลับ แต่ก็เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจประกอบกัน มนุษย์เรามีความฝันเกิดขึ้นในระหว่างการหลับนั้น เป็นเพราะหลายสาเหตุด้วยกัน ดังนี้ค่ะ
- เป็นกระบวนการทำงานของสมอง : ในช่วงหลับ REM (Rapid Eye Movement) สมองจะมีกิจกรรมคล้ายกับตอนตื่น โดยจะมีการสร้างภาพ และเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งเราจะรับรู้ในรูปของความฝัน การฝันจึงเกิดจากการทำงานตามปกติของสมอง
- เป็นการประมวลข้อมูลและประสบการณ์ : สมองจะนำข้อมูลหรือประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับในระหว่างกลางวันมาประมวลและจัดเก็บ บางครั้งจึงปรากฏเป็นเหตุการณ์หรือภาพในความฝัน
- เป็นการระบายอารมณ์และความรู้สึก : ความกลัว ความเครียด ความหวัง ความปรารถนาที่สะสมไว้ จะถูกสมองนำออกมาแสดงผ่านความฝัน เป็นวิธีระบายอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้น
- เป็นผลมาจากสารเคมีในสมอง : การหลั่งสารเคมีบางชนิด เช่น โดปามีน เซโรโทนิน ในสมองช่วงหลับนั้น ก็มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดความฝัน
- เป็นสัญญาณบางอย่างในร่างกาย : ความฝันบางอย่างอาจเป็นผลจากสัญญาณของร่างกาย เช่น ความกระหายน้ำ อาการปวด หรือการรับรู้แสงเสียงต่างๆ
นักจิตวิทยาศึกษาความฝัน เพื่อเข้าใจจิตใจและพฤติกรรมมนุษย์ยังไงบ้าง ?
การศึกษาความฝันเปรียบเสมือนหน้าต่างสู่จิตใจมนุษย์ ช่วยให้เข้าใจแรงจูงใจ อารมณ์ความรู้สึก บุคลิกภาพ รวมถึงช่วยในการประเมินสุขภาพจิตและพัฒนาการรักษาได้ดียิ่งขึ้น นักจิตวิทยาจึงมีความสนใจที่จะศึกษาความฝันเพื่อเข้าใจจิตใจและพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งศึกษาในหลายๆ ด้าน ลองดูกันต่อค่ะ
- เข้าใจความปรารถนา และความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจ : ความฝันสามารถสะท้อนความต้องการ ความหวัง และความกลัวที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ได้ การวิเคราะห์ความฝันจึงช่วยให้เข้าใจแรงจูงใจและความรู้สึกแท้จริงของบุคคลนั้น
- ศึกษาวิธีการจัดการกับความเครียด และอารมณ์ : ความฝันเปรียบเสมือนวิธีการระบายความเครียด ความกังวล หรืออารมณ์ต่างๆ ที่สะสมไว้ จึงทำให้นักจิตวิทยาสามารถเข้าใจวิธีการจัดการกับอารมณ์ของแต่ละบุคคลผ่านการศึกษาความฝัน
- ประเมินสุขภาพจิต : ความฝันที่ผิดปกติ เช่น ฝันร้ายซ้ำๆ ฝันประหลาด หรือฝันสับสนอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิต นักจิตวิทยาจึงใช้การวิเคราะห์ความฝันเป็นเครื่องมือในการประเมินและวินิจฉัยปัญหาทางจิตเวชได้
- ทำความเข้าใจบุคลิกภาพ : เนื้อหาและสัญลักษณ์ในความฝันสามารถบ่งบอกลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ รวมถึงวิธีคิดและมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ของบุคคลนั้นได้
- ช่วยพัฒนาการรักษาทางจิตบำบัด : ข้อมูลจากการศึกษาความฝันของผู้ป่วยช่วยให้นักจิตวิทยาเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้น สามารถนำมาวางแผนการรักษา การให้คำปรึกษา หรือพัฒนาวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้
ความฝันมีประโยชน์ยังไง ?
พอจะเข้าใจมากขึ้นแล้วหรือยังคะว่า ฝันเกิดจาก อะไร ? แม้ความฝันจะเป็นเพียงภาพในความคิด แต่ก็มีประโยชน์ และบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมองและจิตใจในหลายๆ ด้าน ลองมาดูประโยชน์ของความฝันกันค่ะ
- ช่วยจัดระเบียบความคิด และความทรงจำ : ในระหว่างการหลับ สมองจะจัดระบบและบันทึกประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวัน ความฝันจึงเป็นกระบวนการที่สมองใช้ในการจัดเรียงและประมวลข้อมูลเหล่านั้น
- ช่วยแก้ไขปัญหา และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ : ความฝันบางอย่างสามารถนำไปสู่คำตอบของปัญหา หรือความคิดสร้างสรรค์ได้ เนื่องจากในฝันสมองจะเชื่อมโยงข้อมูลในรูปแบบที่แตกต่างจากปกติ
- เป็นการระบายอารมณ์ และความเครียด : ความฝันเปรียบเสมือนวาล์วระบายความกดดันทางอารมณ์ต่างๆ เช่น ความเครียด ความกลัว ความคับแค้นใจ ทำให้จิตใจผ่อนคลายลง
- สะท้อนสุขภาพจิต : ลักษณะของความฝันบางอย่างอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า นอนไม่หลับ จึงใช้เป็นข้อมูลในการประเมินสภาวะทางจิตได้
- เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต : ความฝันบางอย่างอาจทำหน้าที่เป็นการฝึกซ้อมหรือจำลองสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยสมองจะนำประสบการณ์และความรู้ที่มีอยู่มาสร้างสถานการณ์จำลองขึ้นในความฝัน แล้วให้เราได้ฝึกปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์นั้นๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าใครกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย อาจฝันเห็นตัวเองกำลังสอบหรือทำข้อสอบที่ยาก ซึ่งสมองกำลังช่วยเตรียมความพร้อมโดยการฝึกซ้อมการเผชิญกับสถานการณ์กดดันจากการสอบ หรือคนที่กังวลเรื่องการสัมภาษณ์งาน อาจฝันเห็นตัวเองกำลังสัมภาษณ์งาน ซึ่งเป็นการฝึกปฏิกิริยาตอบคำถาม แสดงบุคลิกภาพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์จริง หรือ ความฝันบางอย่างยังอาจเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต เช่น ถ้าเคยประสบเหตุการณ์ที่น่ากลัว อาจฝันย้อนไปสู่สถานการณ์นั้น แต่คราวนี้สมองอาจสร้างวิธีหลีกหนีหรือจัดการกับปัญหานั้นขึ้นมา ความฝันจึงอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้เราฝึกซ้อมตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ล่วงหน้า ทำให้เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ เราจะมีความพร้อมมากขึ้นนั่นเอง
- เป็นความบันเทิงและความสุข : ความฝันบางอย่างก็แค่เป็นการผ่อนคลาย และให้ความเพลิดเพลินกับจินตนาการของสมอง ซึ่งถือเป็นการพักผ่อนและเติมพลังสำหรับจิตใจด้วย
ความฝัน กับการทำนาย
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว มีใครคิดถึงประเด็นนี้มั้ยคะว่า คนชอบเอาความฝัน ไปใช้ในการทำนาย ประเด็นการนำความฝันไปใช้ในการทำนายก็เป็นเรื่องที่นักจิตวิทยาให้ความสนใจ และมีการอธิบายไว้ ดังนี้ค่ะ
- มุมมองของจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) : ซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เชื่อว่าความฝันเป็นการแสดงออกของความปรารถนาที่ถูกกดขังอยู่ในจิตไร้สำนึก การตีความความฝันจึงเป็นวิธีเข้าถึงความปรารถนาเหล่านั้น แม้จะไม่ใช่การทำนายโดยตรง แต่ก็ช่วยให้เข้าใจแรงจูงใจและความต้องการที่แท้จริงของจิตใจได้
- ทฤษฎีการรวบรวมข้อมูล (Incorporation Theory) : ทฤษฎีนี้เชื่อว่าความฝันเป็นการรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์และความรู้ที่เรามีอยู่ ดังนั้นความฝันบางอย่างอาจเป็นการรวบรวมสัญลักษณ์หรือเหตุการณ์ที่เคยประสบมาก่อน อาจดูเหมือนเป็นการทำนาย แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงการเรียบเรียงข้อมูลที่มีอยู่แล้วเท่านั้น
- ความเชื่อเรื่องสัญชาตญาณ (Instinct Theory) : ทฤษฎีบางส่วนเชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณบางอย่างที่เป็นพื้นฐานของจิตใจ และสามารถส่งสัญญาณผ่านความฝันได้ เช่น ฝันเห็นสัตว์อาจเป็นสัญลักษณ์ของสัญชาตญาณบางอย่าง จึงถูกตีความเป็นการทำนาย
- ผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรม : ในบางวัฒนธรรมมีความเชื่อมาแต่โบราณว่าความฝันบางอย่างอาจเป็นนิมิตหมายหรือสัญญาณบอกเหตุการณ์ในอนาคต ความเชื่อเหล่านี้จึงมีอิทธิพลต่อมุมมองการตีความความฝันเพื่อทำนาย
ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาเรื่องการทำนาย กับความฝันแต่ว่า นักวิชาการส่วนใหญ่ก็ยังเห็นว่าการนำความฝันมาทำนายเป็นเพียงความเชื่อล้าสมัย ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ และเป็นเพียงการตีความตามอคติของแต่ละคนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็มีการถกเถียงกันไป ส่วนตัวคิดว่าอยู่ที่ความเชื่อส่วนบุคคล และวัฒนธรรม แล้วคุณคิดเห็นกันยังไงคะ ?
Dr.PONG Z3 – PharmaGABA sleep supplement อาหารเสริมช่วยให้นอนหลับ หลับลึก ผ่อนคลาย
ประเทศที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายฝัน
เขียนมาถึงตรงนี้แล้วก็เกิดรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาค่ะว่า มีประเทศไหนบ้างนะ ที่เค้ามีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายฝัน เพราะการทำนายฝันเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีวัฒนธรรมในหลายพื้นที่ทั่วโลก แม้ในปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้จะมีน้ำหนักน้อยลงบ้างในบางสังคม แต่ก็ยังคงมีผู้ศรัทธาอยู่ ลองมาดูรายละเอียดกันค่ะ
- จีน : ชาวจีนเชื่อว่าฝันเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงเหตุการณ์ในอนาคต มีตำราการทำนายฝันที่เก่าแก่มาหลายศตวรรษ
- อินเดีย : ความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายฝันมีรากฐานมาจากศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา ฝันถือเป็นพลังทางจิตวิทยาที่มีความหมายลึกซึ้ง
- อียิปต์โบราณ : ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าฝันคือสารจากเทพเจ้า มีนักทำนายฝันประจำรับใช้ที่ราชสำนัก
- กรีซโบราณ : วัฒนธรรมกรีกโบราณให้ความสำคัญกับการทำนายฝัน นักปราชญ์เช่น พลาโตได้เขียนทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้
- ตุรกี : ในศาสนาอิสลาม การทำนายฝันมีความสำคัญมาก ชาวตุรกีเชื่อว่าฝันบางประเภทมาจากพระเจ้า
พุทธศาสนากับความเชื่อเรื่องทำนายฝัน
“พุทธศาสนากับความฝัน” ตามการอ้างอิงจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมุมมองและแนวคิดของพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับความฝันว่า
- พุทธศาสนามองว่าความฝันเป็นภาวะหนึ่งของจิต ซึ่งเกิดจากอวิชชา และตัณหาที่สั่งสมไว้ในจิตสำนึกและจิตไร้สำนึก
- ฝันมีทั้งที่เป็นอกุศลจิตและกุศลจิต ฝันอกุศลอาจนำไปสู่ความเศร้าหมอง ส่วนฝันกุศลจะนำไปสู่ความร่าเริงบันเทิงใจ
- คัมภีร์พระไตรปิฎกมีบันทึกตัวอย่างฝันของพระพุทธเจ้าและพระสาวก ซึ่งบางฝันก็บ่งบอกเหตุการณ์สำคัญในอนาคต
- พระพุทธศาสนาแนะนำให้พยายามควบคุมฝัน และเจริญสมาธิเพื่อทำให้ฝันดีขึ้น พร้อมทั้งไม่ยึดติดกับฝัน
- หลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับฝัน ได้แก่ ปัญญา สมาธิ อริยสัจ เป็นต้น การเข้าใจความฝันอย่างถูกต้องจะนำไปสู่การพ้นทุกข์
พุทธศาสนาให้ความสำคัญกับความฝันในมุมมองของการศึกษาจิต การควบคุมอารมณ์ และการบรรลุธรรมะ มากกว่าการเน้นการทำนายฝันแบบโชคลางทำนายเลขซึ่งตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ความฝันไม่ได้มีโทษหรือเป็นบาป แต่การกระทำและปฏิกิริยาต่อความฝันนั้นต่างหากที่อาจมีผลดีหรือผลเสีย อธิบายเพิ่มเติมได้ดังนี้ค่ะ
- การยึดติด หลงใหล หรือตกเป็นทาสของความฝัน ถือเป็นกิเลสประเภทหนึ่งที่ทำให้จิตใจไม่สงบ อาจนำไปสู่การตัดสินใจและการกระทำที่ผิดพลาด
- ฝันอกุศลที่เต็มไปด้วยความคิดอกุศล ความโลภ โกรธ หลง ถือเป็นนิมิตไม่ดี ชี้ให้เห็นภาวะจิตใจที่ยังมีกิเลสเข้าครอบงำ
- ตีความฝันไปในทางที่ผิดๆ น้อมนำไปสู่การกระทำที่ไม่เหมาะสม เช่น เชื่อการทำนายฝันแบบงมงาย หวังพึ่งโชคลาง
- ดังนั้น ฝันที่ดีงาม เกิดจากจิตใจที่สงบผ่องใส การยอมรับในตัวเอง มีสติปัญญา ก็นำมาซึ่งคุณประโยชน์ ส่งเสริมให้มีจิตใจบริสุทธิ์ขึ้นตามแนวทางของพุทธศาสนาค่ะ
เกร็ดน่ารู้สนุกๆ เกี่ยวกับการฝัน
- คนเราฝันประมาณ 4-6 ครั้งต่อคืน แต่ส่วนใหญ่จะจำได้แค่ความฝันสุดท้ายเท่านั้น เรามักลืมความฝันไปถึง 95% หลังจากตื่นนอน สมองมักจำความฝันที่มีความรู้สึกและอารมณ์รุนแรงได้ดีกว่า ขณะที่ผู้ชายมักฝันถึงเรื่องทางเพศมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงกลับฝันเกี่ยวกับคนรู้จักบ่อยกว่า นอกจากนี้ แม้แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็ฝันได้เช่นเดียวกับมนุษย์
- คนตาบอดตั้งแต่กำเนิดไม่สามารถฝันเห็นภาพได้ เนื่องจากสมองของพวกเขาไม่เคยได้รับประสบการณ์การมองเห็นภาพมาก่อน ดังนั้นความฝันของคนตาบอดจะเป็นการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสอื่นๆ เช่น กลิ่น เสียง การสัมผัส แต่จะไม่มีองค์ประกอบของภาพปรากฏในความฝัน ในทางตรงกันข้าม คนที่เคยมองเห็นแล้วตาบอดภายหลัง สมองจะยังคงจำภาพ และสามารถฝันเห็นภาพได้ เพราะมีประสบการณ์การมองเห็นสะสมไว้
- การฝันจะเริ่มต้นหลังจากเราหลับลึกประมาณ 90 นาที โดยความฝันจะยาวขึ้นและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการหมุนเวียนของรอบการนอนหลับ และผู้ที่กำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะมีแนวโน้มฝันถึงสิ่งนั้นได้บ่อยขึ้น เพราะสมองกำลังพยายามประมวลข้อมูลและสร้างความเชื่อมโยงในขณะหลับ
- แม้แต่ทารกอายุเพียง 2 สัปดาห์ ก็สามารถฝันได้แล้ว แต่ความฝันของพวกเขาน่าจะเป็นเพียงภาพเคลื่อนไหวหรือเสียงง่ายๆ เนื่องจากสมองยังไม่พัฒนาสมบูรณ์
- ในช่วงท้ายๆ ของการหลับ คนเราจะฝันมากถึง 2 ชั่วโมงต่อคืน โดยความฝันในช่วงนี้จะยาวนานและคมชัดที่สุด จึงทำให้เราจำได้ดีกว่าความฝันตอนแรก
โอ๊ตไซด์นมโอ๊ตบาริสต้า 1ลิตร
Inspire Now ! : ความฝันเกิดจากความซับซ้อนในสมอง โดยเฉพาะบริเวณที่เกี่ยวข้องกับความจำ อารมณ์ และการรับรู้ ในขณะที่เรากำลังหลับ และสมองอยู่ในภาวะพักผ่อน สารสื่อประสาทบางชนิดจะถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เกิดการผสมผสานของข้อมูลจากความทรงจำ ความคิด และความรู้สึกต่างๆ ในรูปแบบของเรื่องราวและภาพที่แปลกประหลาด นั่นคือที่มาของความฝันที่ดูราวกับจินตนาการอันวิจิตรพิสดารนั่นเอง |
---|
DIY INSPIRE NOW คือแรงบันดาลใจของฉันหรือเปล่า ? ฝันเกิดจากอะไร เข้าใจมากขึ้นมั้ยคะ อ่านแล้วคิดเห็นกับเรื่องของความฝันยังไง มาคอมเมนต์พูดคุยกันนะคะ ♡
Featured Image Credit : freepik.com/Lifestylememory