NEWS : Virgin Active Thailand เปิดตัว 4 Real Wellness Ambassadors ส่งต่อแรงบันดาลใจการดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
Virgin Active เปิดตัว 4 แบรนด์แอมบาสเดอร์ ออกกำลังกายจริง เห็นผลจริง สร้างแรงบันดาลใจใหคนไทยดูแลสุขภาพแบบองค์รวมไปด้วยกัน
หากใครที่เป็นพุทธศาสนิกชนหรือนับถือศาสนาพุทธแล้ว เชื่อว่าจะต้องเคยได้ยินคำว่าเมตตากรุณามาก่อนทั้งนั้น เพราะหนึ่งในคำสอนของหลักศาสนาพุทธก็คือการมีเมตตา ซึ่งนอกจากจะทำให้จิตใจของเราเป็นสุข และมีความสงบสุขเกิดขึ้นแล้ว ยังช่วยให้การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นมีความขัดแย้งน้อยลงด้วย แท้จริงแล้ว ความเมตตากรุณา คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร และจะทำอย่างไรให้เรามีความเมตตากรุณาต่อกันมากขึ้น ตาม DIYINSPIRENOW มาทำความเข้าใจกันในบทความนี้เลยค่ะ
บางคนอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “สังคมของเราจะสงบสุขขึ้นได้ หากมนุษย์เรามีความเมตตาต่อกัน” แล้วความเมตตากรุณา คืออะไร ? ความเมตตากรุณาเป็นหนึ่งในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า พรหมวิหาร 4 หรือพรหมวิหารธรรม ที่เป็นหลักธรรมประจำใจ สามารถนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้ และทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข หลักพรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมที่ทุกๆ คนควรยึดถือปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วยหลักธรรม 4 ข้อ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือหลักธรรมที่สามารถนำเอาไปปรับใช้ในชีวิตของตนเองได้ทั้งสิ้น จะมีรายละเอียดยังไงนั้น ตามมาอ่านกันต่อค่ะ
พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่สอนเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาและกรุณาอย่างสูงสุด คำว่า “พรหมวิหาร” หมายถึงธรรมะที่เป็นที่อยู่อันประเสริฐหรือธรรมะที่ควรถือปฏิบัติเหมือนที่อยู่ของพรหม ประกอบด้วย 4 ข้อ ดังนี้
ความเมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ไม่คิดทำร้ายกัน มีความรักใคร่ใจดีกับผู้อื่น และอยากให้เขามีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดี มีความปรารถนาดีต่อผู้อื่น หวังดีต่อกัน มีจิตใจเป็นมิตรไมตรี ให้ความช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน และไม่ถือโทษโกรธกัน ไม่ว่าจะเป็นการมีเมตตาต่อคนรอบข้าง การเมตตาต่อสัตว์และเพื่อนร่วมโลก รวมถึงการเมตตาต่อตนเองด้วยเช่นกัน
ความกรุณา มีความหมายว่า ความปรารถนาที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีความสงสารและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่กำลังมีความทุกข์กายทุกข์ใจ อยากช่วยบำบัดทุกข์และความเดือดร้อนต่างๆ ของทั้งมนุษย์และสัตว์ เรามักจะเคยได้ยินคำว่ากรุณามาพร้อมกับคำว่าเมตตา ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความเมตตากรุณา คือ การปฏิบัติต่อผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข ทั้งสุขกายสบายใจ มีความเป็นอยู่ที่ดี ไร้ความขุ่นข้องหมองใจ ซึ่งจะทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขมากขึ้น
ความมุทิตา มีความหมายถึง ความปีติยินดีต่อผู้อื่น เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีหรืออยู่ดีมีสุข ไม่เกิดความอิจฉาริษยา มีจิตใจผ่องใสและแช่มชื่น รู้สึกชื่นชมยินดีต่อความสำเร็จและความสุขของผู้อื่น คนที่มีมุทิตา ก็จะเป็นคนที่ไม่อิจฉาริษยาผู้อื่น และยินดีกับความสุข ความสำเร็จของผู้อื่นด้วยใจจริง
ความอุเบกขา หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง และไม่ซ้ำเติมต่อผู้อื่นที่กำลังเป็นทุกข์ หรือกำลังประสบกับปัญหาต่างๆ ทั้งยังไม่เอนเอียงไปยังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะความชอบหรือความอคติส่วนตัว มีสติและมีความเป็นธรรมอยู่เสมอ และปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
และจากหลักธรรมพรหมวิหาร 4 ประการนี้นั้น ก็จะเห็นได้ว่า คนที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือ เป็นคนที่ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ไม่คิดร้ายกับผู้อื่น มีความหวังดีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง และปรารถนาที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ การปฏิบัติเพื่อต้องการช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญ และพ้นจากทุกข์ต่างๆ ด้วยการแสดงความมีน้ำใจอย่างเต็มใจ รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูล และไม่เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น เป็นการให้ตามความสามารถของตนโดยไม่หวังผลตอบแทน ทั้งนี้ ยังเป็นคนที่ร่วมชื่นชมยินดีไปกับความสำเร็จของผู้อื่นได้อย่างแท้จริง ไม่อิจฉาริษยาผู้อื่น และยังสามารถวางตัวเป็นกลาง มีสติ และมีความเที่ยงธรรม ไม่มองเห็นสิ่งใดเอนเอียงไปตามอคติของตน และมีจิตใจเป็นกลาง
ซึ่งหากเราดำรงตนอยู่ในหลักธรรมพรหมวิหาร 4 เป็นคนที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือ ผู้ที่มีคติธรรมอยู่ในใจ ไม่คิดร้ายกับผู้อื่นและมีความหวังดีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง ก็จะทำให้เราอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างมีความสุขและสงบสุข และถ้าหากคนเรามีความเมตตากรุณาต่อกัน เชื่อว่าจะทำให้สังคมมีความขัดแย้งน้อยลงอย่างแน่นอนค่ะ
ตอนนี้เราก็ได้ทราบแล้วว่า ความเมตตากรุณา คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร แล้วทำไมเราถึงต้องมีต่อกัน ? อย่างที่กล่าวไปว่า ความเมตตากรุณานั้น หมายถึงการปราถนาให้อีกฝ่ายมีความสุขและปราศจากความทุกข์ เป็นความหวังดีโดยไร้เงื่อนไข เป็นการแสดงถึงการมีมิตรไมตรีต่ออีกฝ่าย มีความรักใคร่เอ็นดู ใจดีกับผู้อื่น อยากให้อีกฝ่ายมีชีวิตที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ดี และไม่คิดร้ายกับคนนั้น หากมนุษย์เรามีความเมตตากรุณาต่อกัน ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นน้อยมากในสังคม เพราะต่างฝ่ายก็ไม่อยากทำร้ายกัน และต่างก็มีความปราถนาดีต่อกัน ต่างอยากให้อีกฝ่ายไม่เป็นทุกข์และมีความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อคิดได้แบบนี้ เราก็จะไม่ถือโทษโกรธเคืองผู้ใดหรือมีความประสงค์ร้ายกับใคร ทำให้เกิดการทำร้ายกันน้อยมาก และขัดแย้งกันน้อยลงมากๆ ดังนั้น ความเมตตากรุณาไม่ได้มีความจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น แต่จำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในโลกใบนี้ ในฐานะการเป็นมนุษย์ด้วยกัน และยังจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมโลกอย่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งสัตว์และพันธ์ุพืช ที่จะทำให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
การมีเมตตากรุณา คือสิ่งที่สามารถฝึกกันได้ เป็นสิ่งที่จำเป็นกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนรัก คนในครอบครัว เพื่อนสนิท กับลูกน้องบริวาร หรือแม้แต่กับตัวเอง ซึ่งเราควรจะมีเมตตาต่อตนเองด้วยเช่นกัน เพราะการที่เราหวังดีต่อตัวเองและปราถนาดีต่อตัวเอง มีวิธีรักตัวเองและใจดีกับตัวเองนั้น จะช่วยให้เราเคารพตัวเองมากขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้นและรักตัวเองในแบบที่เป็น แล้วเราจะฝึกการมีเมตตากรุณาได้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ
ในการเป็นคนมีเมตตากรุณานั้น เราต้องคิดว่ามันเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ทุกคน และเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อกัน ทั้งนี้ เราควรเลือกสันติสุขเหนือความขัดแย้ง เลือกความเมตตาแทนความโหดร้าย มีไมตรีจิตแทนความเกลียดชัง และมีคุณธรรมเหนือความคิดและการกระทำอันชั่วร้าย ถ้าคิดได้แบบนี้ เราก็จะมีเมตตาต่อผู้อื่นมากขึ้น
ในแต่ละวันเราพบเจอผู้คนมากมาย และเป็นธรรมดาที่จะต้องเจอกับคนที่ทำให้เราเกิดความขุ่นข้องหมองใจหรือรู้สึกอยากจะโต้ตอบด้วย แต่ถ้าเราฝึกตัวเองว่า ให้มีเมตตาต่อเขา ใจดีต่อเขาและเลือกวิธีการพูดคุยที่ละมุนละม่อมแทนการปะทะทัน หากเรามีสติอยู่กับตัวเองอยู่เสมอและทำแบบนี้เป็นประจำ ก็จะกลายเป็นนิสัยของเราเองโดยอัตโนมัติ
ความเมตตาหมายถึงมีความสุขเมื่อเห็นคนอื่นเป็นสุขด้วย ความรู้สึกนี้รวมถึงการทักทายผู้อื่นอย่างอบอุ่น ใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน ถามถึงสวัสดิภาพทั่วไปด้วยความจริงใจและปรารถนาดี และแสดงความเป็นมิตรต่อผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เราดูเป็นคนจิตใจดีมีเมตตามากขึ้นได้
เมื่อคุณฟังคนอื่นอย่างจริงใจ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการมีเมตตากรุณา การฟังอย่างลึกซึ้งหมายถึงการเอาใจใส่และห่วงใยอีกฝ่ายอย่างจริงใจ ว่ากันว่า การฟังหมายถึงการแสดงความรักอย่างหนึ่ง และการรับฟังด้วยใจกรุณาหมายถึงการเป็นคู่หูที่ปลอดภัยให้คนอื่นพูดคุยและเปิดใจเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขาได้ เป็นการมี Empathy Sympathy คือ มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเองค่ะ
วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเป็นคนมีเมตตากรุณา คือการพยายามแสดงกิริยาที่ใจดีทุกวัน อย่างที่มหาตมะ คานธี ได้แนะนำไว้ว่า“กิริยาการเมตตาที่ง่ายที่สุดนั้นได้ผลมากกว่าผู้คนนับพันที่มาชุมนุมกันอธิษฐาน” การแสดงน้ำใจต่อผู้คนนี้สามารถเป็นอะไรก็ได้ อาจเป็นการทักทายหรือยิ้มให้กับคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่ริมถนน ก็เป็นการแสดงความเมตตาต่อผู้อื่นแล้ว
Inspire Now ! : นอกจากความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดีแล้ว การมีเมตตากรุณา คืออีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงการเป็นคนดี มีจิตใจดีด้วยเช่นกัน เพราะหมายถึงการมีความปราถนาดีต่อผู้อื่น หวังดีต่อผู้อื่น ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น ปฏิบัติต่อคนรอบข้างด้วยความรักใคร่อ่อนโยน อยากช่วยเหลือดูแลให้ผู้อื่นปราศจากความทุกข์ การมีเมตตากรุณาต่อกัน จะช่วยให้เกิดความขัดแย้งน้อยลง และทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีสันติภาพเกิดขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ |
---|
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? การมีเมตตากรุณาเป็นสิ่งที่สามารถฝึกกันได้ และเราชื่อว่าหากเรามีเมตตาต่อกันแล้ว โลกของเราจะน่าอยู่มากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ คิดเห็นอย่างไร มาคอมเมนต์แลกเปลี่ยนมุมมองกันนะคะ ♡
Virgin Active เปิดตัว 4 แบรนด์แอมบาสเดอร์ ออกกำลังกายจริง เห็นผลจริง สร้างแรงบันดาลใจใหคนไทยดูแลสุขภาพแบบองค์รวมไปด้วยกัน
แนะนำแอพเช็ค pm 2.5 ได้ โหลดติดเครื่องเอาไว้เช็คค่าฝุ่นประจำวันกัน ให้ได้เตรียมตัวก่อน เพื่อป้องกันได้เร็วกว่า พร้อมคำแนะนำเรื่องการดูแลตัวเอง
อริยสัจ 4 คืออะไร มีอะไรบ้าง มาเจาะลึกความหมาย พร้อมแนวคิดเอาไว้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ให้เราเข้าใจชีวิต และดำเนินชีวิตได้อย่างเข้าใจ