9 เคล็ด (ไม่) ลับ สร้าง “การนอนหลับที่มีคุณภาพ” และฟื้นฟูร่างกายฉบับเร่งด่วน (ผลสำรวจจาก Virgin Active)
ผลสำรวจชี้ คนไทยยกให้ "การนอนหลับที่มีคุณภาพ" สำคัญที่สุด! ชวนดูวิธีฟื้นฟูร่างกายและใจให้หายเหนื่อยด้วยศาสตร์ Wellness จาก Virgin Active ที่นี่
ในช่วงเวลาที่สาวๆ มีประจำเดือนนั้น จะมีอาการทางร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะปวดท้อง ปวดหลัง ปวดหัว คลื่นไส้ รู้สึกไม่สบายเนื้อตัว หรือเป็นตะคริว ทั้งยังมีอารมณ์แปรปรวนผิดปกติอีกด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากการที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงไข่ตกของทุกเดือน ในบางคนอาจมีอาการปวดท้องมากจนต้องใช้ยาแก้ปวดประจำเดือนช่วยบรรเทาอาการปวด นอกจากการรับประทานยาแล้ว อาหารบางชนิดก็ส่งผลต่ออาการต่างๆ ในช่วงประจำเดือนมาด้วยเช่นกัน เป็นเมนส์ห้ามกินอะไรบ้าง ? และอะไรบ้างที่ควรกินเพื่อบำรุงร่างกายช่วงวันนั้นของเดือน DIYINSPIRENOW จะพาไปทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้มากขึ้นกันในบทความนี้ค่ะ

ในช่วงก่อนเป็นประจำเดือนหรือช่วงประจำเดือนมา เชื่อว่าสาวๆ หลายคนจะต้องเข้าใจอาการอยากกินนู่นกินนี่ไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสจัด ของหวาน มัน เค็มอย่างน้ำอัดลมกระป๋อง มันฝรั่งทอด หรือไก่ทอด และสำหรับบางคนแล้วก็กินเยอะมากผิดปกติอีกด้วย ซึ่งถ้าหากเลือกรับประทานอาหารจำพวกนี้ในปริมาณมาก อาจเป็นอันตรายทั้งภายในและภายนอกของร่างกายได้มากมาย เช่น ปวดประจำเดือนมากขึ้น ทำให้บวมน้ำหรือพุงป่อง รวมถึงมีสิวขึ้นด้วย แล้วถ้าไม่อยากมีอาการแบบนี้ ควรกินอาหารแบบไหน เป็นประจำเดือน ห้ามกินอะไร มาดูกันเลยค่ะ
เมื่อประจำเดือนมา ร่างกายของเพศหญิงจะหลั่งฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ออกมา ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกมีการบีบตัวเพื่อขับเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกออกนอกร่างกายในรูปของเลือดประจำเดือน ทั้งนี้ ระดับพรอสตาแกลนดินที่สูงเกินไปทำให้ปวดท้องได้มากขึ้น จึงควรลดการกินเนื้อแดงเนื่องจากเป็นอาหารที่มีพรอสตาแกลนดินสูง เพื่อช่วยลดการปวดประจำเดือน
ขนมอบต่างๆ นั้นประกอบไปด้วยแป้ง น้ำตาลและไขมันในปริมาณสูง ทั้งยังมีไขมันทรานส์อีกด้วย ซึ่งไขมันทรานส์จะทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างกะทันหัน ถ้าไม่อยากปวดท้องหนักในช่วงมีประจำเดือน เป็นเมนส์ห้ามกินอะไรบ้าง หนึ่งในนั้นก็คือ เบเกอรี่และขนมอบต่างๆ ค่ะ
คนเป็นเมนส์ห้ามกินอะไรบ้าง อันต่อมาก็คืออาหารแปรรูปอย่างอาหารกระป๋อง เนื้อสัตว์แปรรูป และรายการอื่นๆ ที่มีส่วนประกอบของสารปรุงแต่งทางเคมีและสารกันบูด เพราะอาจทำให้ท้องอืด รู้สึกไม่สบายตัว ทั้งยังทำให้บวมน้ำอีกด้วย รวมถึงระดับโซเดียมสูงนั้นไม่ดีต่อสุขภาพทุกช่วงเวลาของเดือนไม่ใช่แค่เวลามีประจำเดือนเท่านั้น

ให้ลดหรือเลิกบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะการเสียเลือดในช่วงเมนส์มาจะทำให้ระดับความดันโลหิตของเราลดลง ทำให้มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงของแอลกอฮอล์มากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้รู้สึกอ่อนเพลียหรือรู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้นด้วย รวมถึงแอลกอฮอล์อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกปวดหัวและทำให้ท้องอืดได้ ทั้งยังสามารถนำไปสู่ปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสียและคลื่นไส้ได้อีกด้วย
ในขณะที่มีประจำเดือน สาวๆ จะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง รวมทั้งเสียเลือดและอาจเป็นตะคริวในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน เพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ ควรลดการกินอาหารรสจัดลง เพราะอาหารรสเผ็ดอาจเพิ่มก๊าซในกระเพาะอาหารและทำให้ท้องอืดส่งผลให้ปวดท้องมากขึ้นได้ นอกจากนี้ ระบบย่อยอาหารก็จะทำงานได้ไม่สมบูรณ์เหมือนช่วงเวลาปกติอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้ท้องเสียง่ายกว่าเดิม
เป็นเมนส์ห้ามกินอะไรบ้าง ? อีกหนึ่งในอาการที่ไม่ควรกินช่วงเมนส์มาคือพืชตระกูลถั่วต่างๆ อย่างถั่วดำ ถั่วแดง และพืชตระกูลถั่วทั้งหมด เพราะจะทำให้ท้องอืด ย่อยได้ไม่ดี และรู้สึกไม่สบายตัว หากอยากให้อาการปวดท้องทุเลาลง ลองงดกินถั่วดูนะคะ

สำหรับคนที่ติดกาแฟอาจจะต้องเพลาๆ การดื่มกาแฟในช่วงที่เป็นประจำเดือน เพราะอาจทำให้ร่างกายมีอาการขาดน้ำและทำให้ท้องอืดได้ นอกจากนี้ ยังสามารถทำให้ปวดหัวรุนแรงขึ้นด้วย แต่การถอนคาเฟอีนทันทีก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้เช่นกัน เพราะข้อดีของกาแฟก็ยังมีอยู่มาก ดังนั้น อย่าหักดิบด้วยการงดดื่มไปเลย แต่อาจจะปริมาณลงเหลือเพียง 1 แก้วต่อวัน (สำหรับคนที่ดื่มวันละ 2 – 3 แก้ว) เพื่อป้องกันไม่ให้รู้สึกปวดหัวหรือมีอาการขาดน้ำ นอกจากนี้ กาแฟอาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหารได้ หากสาวๆ คนไหนมีอาการท้องร่วงในช่วงมีประจำเดือน การลดการบริโภคกาแฟอาจทำให้อาการเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นได้
การกินน้ำตาลในปริมาณที่พอเหมาะเป็นเรื่องปกติ (โดยปกติไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 24 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 6 ช้อนชา) เพราะถ้าน้ำตาลในเลือดมีปริมาณสูงขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็วจะส่งผลให้อารมณ์แปรปรวนได้ ถ้าใครมักจะรู้สึกหงุดหงิด หดหู่ หรือวิตกกังวลในช่วงมีประจำเดือน ลองลดอาหารหรือผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงดู หากงดน้ำตาลได้จะส่งผลให้อารมณ์ของเราแปรปรวนน้อยลง ทั้งขนมหวานต่างๆ รวมถึงผลไม้น้ำตาลสูงอย่างทุเรียน ขนุน มะม่วงสุก ลำไย ละมุด น้อยหน่า เป็นต้น
ในช่วงที่เป็นประจำเดือน ห้ามกินอะไรบ้าง ตอนนี้ก็ได้รู้ไปเรียบร้อยแล้วนะคะ จะได้ใส่ใจในเรื่องของอาหารช่วงระหว่างมีประจำเดือน ถ้าใครมีอาการท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้องอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะกินอาหารที่แสลงต่ออาการก็เป็นได้ ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า ช่วงเป็นประจำเดือนควรจะกินอะไรที่สามารถบำรุงร่างกายของเราได้
การดื่มน้ำให้มากๆ นั้นดีต่อร่างกายอยู่แล้ว และในช่วงมีประจำเดือนนั้น การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดอาการปวดหัว ลดความรู้สึกอ่อนเพลีย และเติมความรู้สึกสดชื่นให้กับเรา นอกจากนี้ การดื่มน้ำยังช่วยลดอาการบวมน้ำในร่างกายและช่วยลดอาการท้องอืดได้ด้วย

สาวๆ คนไหนที่ชอบกินดาร์กช็อกโกแลตจะต้องยิ้มออกแน่ๆ เพราะดาร์กช็อกโกแลตนั้นมีประโยชน์ต่อคุณผู้หญิงทั้งในช่วงก่อนมีประจำเดือนและในระหว่างมีประจำเดือน เพราะดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและแมกนีเซียม ซึ่งแมกนีเซียมจะช่วยลดความรุนแรงของอาการ PMS ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการหงุดหงิด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับ เจ็บคัดเต้านม หิวบ่อย อย่างไรก็ตาม ควรเป็นดาร์กช็อกโกแลต 70% ขึ้นไป ถ้าเป็นช็อกโกแลตนมก็อาจทำให้ได้รับปริมาณน้ำตาลสูงเกินไปได้
สับประรดเป็นผลไม้ที่คนมีประจำเดือนควรรับประทาน เพราะมีเอนไซม์โบรมิเลนที่ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และมีแมงกานีสที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดอาการปวดเกร็งบริเวณท้องน้อยในช่วงเมนส์มาได้ ทั้งยังมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน กินแล้วทำให้รู้สึกสดชื่น ช่วยคลายความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าในช่วงที่ประจำเดือนมาได้ด้วย

ในช่วงที่ประจำเดือนมา จะทำให้ธาตุเหล็กในร่างกายของเราลดลง ทั้งยังทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีอาการปวดหัว เวียนหัว ซึ่งการรับประทานผักใบเขียวอย่างคะน้า ตำลึง ผักบุ้ง ผักโขม ผักเคล จะช่วยเพิ่มระดับธาตุเหล็กและวิตามินบีให้กับร่างกาย ช่วยให้รู้สึกอ่อนเพลียน้อยลงและมีพลังงานมากขึ้น
ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชไม่ขัดสีที่อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามิน A, B และยังเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีอีกด้วย ซึ่งการบริโภคธาตุเหล็กในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด PMS ที่จะเป็นก่อนมีประจำเดือน และข้าวโอ๊ตยังเป็นตัวเลือกที่ดีหากมีอาการปวดท้องประจำเดือน การกินข้าวโอ๊ตต้มอุ่นๆ นั้นอาจช่วยให้รู้สึกสบายท้องมากขึ้น
แม้ว่าช่วงเป็นเมนส์จะห้ามกินผลไม้น้ำตาลสูง แต่ว่าผลไม้บางอย่างก็ยังเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะน้ำตาลธรรมชาติที่พบในผลไม้ เช่น แตงโม มะเดื่อ และลูกพลัม จะช่วยลดความอยากของหวานได้ ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินที่ช่วยลดอาการบวมและท้องอืด นอกจากนี้ แตงโมยังมีปริมาณน้ำสูงและช่วยให้ร่างกายของเราชุ่มชื้นไม่ขาดน้ำอีกด้วย
นอกจากน้ำเปล่าแล้ว เครื่องดื่มที่ควรดื่มระหว่างมีประจำเดือนคือ ชาคาโมมายล์ มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายระบบประสาท ช่วยลดอาการเกร็งและการบีบตัวของมดลูก ช่วยลดความรุนแรงของตะคริว ทั้งยังช่วยบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวล และทำให้นอนหลับได้ดีขึ้นด้วย
ชาขิงอุ่นๆ สักแก้วสามารถช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ในช่วงมีประจำเดือนได้ ขิงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้าได้ดี ลดการปวดกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ขิงยังช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ด้วย แต่ระวังอย่ากินขิงมากเกินไป เพราะการบริโภคมากกว่า 4 กรัมต่อวันอาจทำให้เกิดอาการเสียดท้องและปวดท้องได้ค่ะ
Inspire Now ! : นอกจากการระมัดระวังเรื่องอาการการกิน และรับประทานอาหารที่ดีต่อร่างกายในช่วงมีประจำเดือนแล้ว การออกกำลังกาย เช่น คาร์ดิโอเบาๆ และโยคะ ก็สามารถลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ ถ้าหากปวดท้องมากๆ สามารถประคบร้อนด้วยขวดน้ำร้อนหรือถุงร้อนได้ นอกจากนี้ การกินที่ยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ เช่น ไอบูโพรเฟน ก็จะช่วยลดอาการปวดได้ ร่วมกับการนวดท้องหรือหลังเบาๆ ก็สามารถลดอาการปวดประจำเดือนได้เช่นกัน แต่ถ้าปวดท้องประจำเดือนหนักผิดปกติ ร่วมกับมีไข้ ใจสั่น มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นความผิดปกติทางมดลูกได้ |
|---|
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันได้คำตอบใช่ไหม ? ช่วงเป็นประจำเดือน ห้ามกินอะไรก็ได้รู้กันไปแล้ว ใครปวดประจำเดือนบ่อยๆ กินอะไรแล้ว เป็นยังไงบ้าง มาคอมเมนต์คุยกันนะคะ ♡
เลี้ยงชานมเป็นกำลังใจให้นักเขียน หรือ สนับสนุนเว็บ DIYINSPIRENOW ให้เราผลิตคอนเท้นต์ดีๆต่อไปกันน้า
ขอบคุณที่ซัพพอร์ตเป็นกำลังใจให้ทีมเรานะคะ 💚
ผลสำรวจชี้ คนไทยยกให้ "การนอนหลับที่มีคุณภาพ" สำคัญที่สุด! ชวนดูวิธีฟื้นฟูร่างกายและใจให้หายเหนื่อยด้วยศาสตร์ Wellness จาก Virgin Active ที่นี่
ค้นพบความหมายใหม่ของ “การกินเจ” ที่มากกว่าแค่งดเนื้อสัตว์ รู้ครบทั้งข้อดี ข้อเสีย และวิธีกินให้ได้ประโยชน์ ทั้งกาย ใจ และโลกใบนี้
ในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบเกินไป เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ชวนคนไทยตระหนัก เรื่องพักที่ไม่ใช่แค่การหยุด แต่คือการคืนสมดุลให้ร่างกายและใจอย่างแท้จริง
