องค์การสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุสากล หรือ International Day of Older Persons ซึ่งได้กำหนดเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1991 สำหรับประเทศไทย เริ่มให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุเมื่อสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้มีการกำหนดนโยบายที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีชีวิตที่มีคุณภาพ และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข และมอบหมายให้กรมประชาสงเคราะห์จัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขี้นในปี พ.ศ. 2496 เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีความทุกข์ยาก ปัจจุบัน ทั่วโลกกำลังก้าวสู่การเป็น สังคมผู้สูงอายุ คือ มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ และเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรขึ้น อัตราการเกิดลดลง ในขณะที่ผู้สูงอายุมีชีวิตยืนยาวขึ้น และสัดส่วนประชากรวัยแรงงานกับผู้สูงอายุมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในหลายๆ ประเทศได้มีการเตรียมให้สังคมสามารถรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้อย่างมีคุณภาพ มาดูกันว่า สถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทยเป็นอย่างไร และประเทศไทย มีการเตรียมพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเอาไว้อย่างไรบ้าง
ผู้สูงอายุ และ สังคมผู้สูงอายุ คือ อะไร ?
Image Credit : Freepik
ก่อนที่จะอธิบายถึงสังคมผู้สูงอายุ เรามาเข้าใจความหมายของผู้สูงอายุกันก่อนว่า เป็นกลุ่มคนช่วงวัยใด ซึ่งความหมายของผู้สูงอายุ มีความแตกต่างกันไปในระดับสากล ในประเทศที่พัฒนาแล้วฝั่งตะวันตกได้ให้นิยามของผู้สูงอายุว่า เป็นกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป สำหรับประเทศไทย ในพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 3 ได้บัญญัติว่า “ผู้สูงอายุ หมายถึง บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป”
นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งการสูงอายุออกเป็นกลุ่มๆ ทั้งแบ่งด้วยเกณฑ์อายุ ประกอบด้วย ผู้สูงอายุ ซึ่งมีอายุระหว่าง 60 – 74 ปี คนชรา มีอายุระหว่าง 75 – 90 ปี และ คนชรามาก มีอายุ 90 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ ยังมีการแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุตามความสามารถ ได้แก่ กลุ่มที่ช่วยเหลือตัวเองได้ดี กลุ่มที่ช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง และกลุ่มที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ มีความพิการ เหตุที่มีการแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุ ก็เพื่อการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุอย่างเหมาะสมต่อความต้องการแต่ละกลุ่มนั่นเอง
สังคมผู้สูงอายุ คืออะไร ?
จากข้อมูลของ United Nations World Population Ageing กล่าวว่า สังคมผู้สูงอายุ คือ สังคมที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุ หรือประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สัดส่วนของอัตราเกิด และจำนวนประชากรวัยแรงงานลดน้อยลง ซึ่งสามารถแบ่งประเภทสังคมผู้สูงอายุได้ ดังนี้
สังคมกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) หมายถึง สังคมนั้นมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นผู้สูงอายุ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ประเทศเวียดนาม
สังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) คือสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือเป็นสังคมที่มีประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด ได้แก่ ประเทศเกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ประเทศจีน ประเทศสิงคโปร์ ประเทศไทย เป็นต้น
สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Completely Aged Society) หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ หรือเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งหมด ได้แก่ ประเทศสวีเดน ประเทศเยอรมนี ประเทศอิตาลี ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
สังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super – Aged Society) หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ หรือเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า ในช่วงปี 2001 – 2100 จะเป็นศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ โลกกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สุงอายุ ซึ่งแต่ละประเทศก็จะก้าวสู่สังคมผู้สุงอายุแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของแต่ละประเทศ เช่น ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางด้านการแพทย์ การโภชนาการ เป็นต้น การกำหนดวันผู้สูงอายุสากลขึ้น จะทำให้ประชาชนและรัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุและการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อที่จะได้มีการเตรียมตัวรองรับกับสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศได้อย่างมีคุณภาพ
สถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย
Image Credit : Freepik
ประเทศไทย ได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ ช่วง Aged Society เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สถิติในปี พ.ศ. 2565 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นจำนวนร้อยละ 18.3 ของจำนวนประชากรทั้งหมด หรือมีจำนวน 12,116,199 คน ในขณะที่อัตราเกิดกลับลดลง สถานการณ์เด็กเกิดใหม่ของประเทศไทยขณะนี้ต่ำกว่า 600,000 คนต่อปี และในปี พ.ศ. 2565 มีอัตราเกิดน้อยกว่า 0.5% โดยอยู่ที่ 0.18%
ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หรือ Completely Aged Society ในปี พ.ศ. 2567 – 2568 และคาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ นั่นคือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด หรือ Super – Aged Society นั่นเอง
ทำไมถึงต้องเตรียมตัวเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สุงอายุ
อายุของคนไทยจะยืนยาวขึ้น ปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ย 75 ปี แต่ในปี พ.ศ. 2568 คนไทยจะมีอายุเฉลี่ยที่ 85 ปี ซึ่งการมีอายุมากขึ้น ก็ต้องเตรียมความพร้อมเรื่องเงินมากขึ้นด้วย
ค่ารักษาพยาบาลจะสูงขึ้น โดยจะเพิ่มขึ้นปีละ 5 – 8% ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้กระทบต่อเงินเก็บของผู้สูงอายุมากที่สุด หากไม่มีการเตรียมพร้อมที่ดี ก็อาจจะนำมาสู่ปัญหาเรื่องการเงินได้
โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลง มีอัตราการเกิดน้อยลง จำนวนประชากรวัยทำงานมีจำนวนลดลง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง ส่งผลให้มีการพัฒนาประเทศช้าลงด้วย
สัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยตอนนี้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอันดับ 3 ของโลก (ข้อมูลจาก กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
เมื่ออายุมากขึ้น ก็จะมีโอกาสเกิดโรคได้มากขึ้นด้วย เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมองแตก โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่มีการเตรียมการในด้านนี้ ก็จะเกิดวิกฤตด้านสุขภาพของประชากรผู้สูงอายุอย่างแน่นอน
วิธีรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ
Image Credit : Freepik
เมื่อประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากร ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสภาพทางสังคม รวมถึงตัวผู้สูงอายุหรือคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุเองด้วย ดังนั้น จะมีวิธีเตรียมความพร้อมอย่างไร ให้สามารถรองรับกับสถานการณ์ผู้สูงอายุที่จะเกิดขึ้นได้
จัดการทำแผนแผนค่ารัษาพยาบาลหลังเกษียณ เช่น จัดทำแผนสรุปสวัสดิการสุขภาพหลังเกษียณ หรือแผนสวัสดิการสุขภาพตลอดชีวิต (Long Term Health Plan) โดยการทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมถึงอายุไขที่ได้คาดการณ์ไว้
เร่งมูลค่าของเงินให้ชนะเงินเฟ้อ โดยการลงทุนในกองทุนรวมระยะยาว กองทุนเพื่อการเกษียณ เป็นต้น (อ่านเพิ่มเติม กองทุนรวมฉบับมือใหม่ )
เพิ่มทักษะและการจัดหางานให้เหมาะสมกับแรงงานผู้สูงอายุ และเพิ่มความสามารถในการหารายได้หลังเกษียณ ซึ่งทำได้ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบตลอดช่วงอายุ
การยกระดับคุณภาพชีวิต โดยการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ รวมถึงการวางแผนรายรับรายจ่ายอย่างสมดุล หรือมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
สร้างการตระหนักรู้การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุให้กับประชาชนในทุกช่วงวัย เพื่อการร่วมมือกันดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและในชุมชน รวมถึงสำหรับคนที่อยู่ในวัยทำงานเพื่อเตรียมตัวให้เข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพ หรือแม้กระทั่งตัวผู้สูงอายุเองเพื่อการเตรียมพร้อมดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง และมีการวางแผนจัดการชีวิตเพื่อให้ดำรงชีวิตต่อไปในสังคมได้อย่างไม่ยากลำบาก
ประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สุงอายุ ที่มีสังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ
Image Credit : Freepik
1. เนเธอร์แลนด์
เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศอันดับ 1 ของโลกในการจัดการดูแลผู้สูงอายุได้ดีที่สุด ปัจจุบันอายุเกษียณของประชาชนเนเธอร์แลนด์อยู่ที่ 66 ปี 4 เดือน และจะได้เงินบำนาญ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ ระบบเงินบำนาญแห่งรัฐ ระบบบำนาญแบบส่วนร่วมหรือบำนาญจากอาชีพหรือบริษัท และระบบบำนาญส่วนบุคคล
นอกจากนี้ ยังมีสวัสดิการ Home Care Service ซึ่งประกอบไปด้วย บริการหมอประจำบ้าน พยาบาลดูแลประจำตัวตามบ้าน บริการดูแลรับผิดชอบเรื่องสุขอนามัยส่วนบุคคล บริการดูแลช่วยเหลือเรื่องงานบ้าน ซื้อของเข้าบ้าน ทำอาหาร ที่ผู้สูงอายุไม่สามารถทำเองได้ บริการพาไปโรงพยาบาล และมีบริการช่วยเหลือในแผนกจิตวิทยา ให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาสุขภาพจิตให้กับผู้สูงอายุ
2. ญี่ปุ่น
ญึ่ปุ่นก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์มาตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุตลอดมา ทั้งเรื่องประกันสุขภาพ โครงการบำนาญ และการปรับปรุงสถานพยาบาลและสุขอนามัย และให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะบทบาทของสมาชิกในครอบครัวในฐานะการเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ยังให้ผู้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนด้วยกันเอง เช่น มีอาสาสมัครในชุมชนมาช่วยดูแลผู้สูงอายุที่สถานพักพิงผู้สูงอายุหรือบ้านพักคนชราในชุมชน เป็นต้น และสำหรับผู้สูงอายุที่ยังคงมีสุขภาพแข็งแรง ก็ยังสามารถประกอบอาชีพได้ กล่าวคือ ผู้สูงอายุในวัย 60 – 69 ปีร้อยละ 70 ยังคงมีงานทำ และผู้สูงอายุวัย 70 ปีขึ้นไปร้อยละ 50 ยังคงทำงานในบริษัท หรือเป็นอาสาสมัครในโครงการสาธารณะ เป็นต้น
3. เกาหลีใต้
ประเทศเกาหลีใต้ มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบ Super Aging Socirty ภายในปี พ.ศ. 2569 ซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้ ได้มีการออกพระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ในปี 2549 โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชากรผู้สูงอายุและการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น ผ่านการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ โดยการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการของประเทศเกาหลี ได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาแรงงานผู้สูงวัยเกาหลี ในปี พ.ศ.2548 ซึ่งเป็นองค์กรกลางของรัฐในการจัดหางานให้แก่ผู้สูงอายุ เพื่อก่อให้เกิดสวัสดิการที่ดี และทางกระทรวงฯ ยังได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพแห่งเกาหลี หรือ Korea Health Industry Development Institute (KHIDI) เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ ปัจจุบัน ทางรัฐบาลให้ความสนใจทางด้านบริการต่างๆ อาทิ การรักษาพยาบาล และการพัฒนาสุขภาพของประชาชน ตลอดจนเวลาว่างในชีวิตประจำวัน ซึ่งหมายรวมถึงงานอดิเรก โดยบริการเหล่านี้ได้แก่ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ศูนย์ดูแลประชาชนที่เกษียณอายุ และศูนย์บริการด้านสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย เป็นต้น
ความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สุงอายุ
Image Credit : Freepik
สำหรับประเทศไทย ได้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือมาตรการ ดังนี้
รัฐบาลได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ โดยกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ “การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต” โดยเฉพาะช่วงวัยสูงอายุ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเป็นพลังในการขับเคลื่อนประเทศ ส่งเสริมให้มีการทำงานหลังเกษียณ ผ่านการเสริมสร้างทักษะการดำรงชีวิต ทักษะอาชีพในการหารายได้ มีงานทำที่เหมาะสมกับศักยภาพของตัวเอง มีการสร้างเสริมสุขภาพ ฟื้นฟูสุขภาพ การป้องกันโรคให้ผู้สูงอายุ และมีหลักประกันทางสังคมที่สอดคล้องกับความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต
สำหรับบุคลากรภาครัฐ ได้มีการกำหนดให้มีการขายอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี เป็น 63 ปี โดยทยอยปรับอายุเกษียณทุก 2 ปี เพิ่มขึ้น 1 ปี และมีการระบุว่า จะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของตำแหน่งที่จะมีการขยายอายุเกษียณ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยบำเน็จบำนาญให้สอดคล้องกัน
ภาครัฐได้เริ่มจัดตั้งศูนย์บริการจัดหางานผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้เพิ่ม หรือมีอาชีพอาชีพหลังเกษียณ
มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่จ้างงานผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป ซึ่งต้องมีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท อย่างไรก็ตาม แรงงานผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีเพียง 3 แสนคน หรือร้อยละ 2.9 ของผู้สูงอายุทั้งประเทศ
รัฐบาลได้กำหนดแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2580) โดยมีวิสัยทัศน์คือ “ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีหลังประกันมั่นคง เป็นพลังพัฒนาสังคม” โดยการเตรียมความพร้อมของประชากรก่อนวัยสูงอายุ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุทุกมิติอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ปฏิรูปและบูรณาการระบบบริหารเพื่อรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ และเพิ่มศักยภาพการวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับสังคมสูงวัย
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนโยบายจากทางภาครัฐบาลในการกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อให้เตรียมพร้อมกับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม การเตรียมพร้อมให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ จะต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนมีการเตรียมความพร้อมของตัวเองให้ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพด้ว ยเช่นกัน
ควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อที่จะได้เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ
Image Credit : Freepik
สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน ให้เตรียมตัวรับมือกับการก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมด้านการเงิน หรือในเรื่องของสุขภาพ ซึ่งค่าใช้จ่ายที่สูญเสียไปมากที่สุดเมื่อเข้าสู้วัยสูงอายุคือ ค่าใช้จ่ายในเรื่องของสุขภาพและค่ารักษาพยาบาล ดังนั้น หากมีการเตรียมการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น ซื้อประกันสุขภาพ รวมถึงดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ก็จะเป็นการป้องกันการเกิดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้
หมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เป็นประจำ เพื่อให้มีทักษะอื่นๆ สำหรับการประกอบอาชีพในวัยเกษียณปัจจุบันแม้ผู้สูงอายุจะมีอายุ 60 ปีขึ้นไปก็ตาม แต่ก็ยังคงมีสุขภาพแข็งแรง ดูอ่อนกว่าวัย และสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพตนเองได้ ดังนั้น หากมีการศึกษาช่องทางการสร้างรายได้อื่นๆ ก็จะช่วยให้มีสภาพคล่องทางการเงิน และยังสามารถพึ่งพาตนเองได้แม้อยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ตาม
รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับวัยสูงอายุ และเหมาะสมกับโรคประจำตัว อาทิ ความดันโลหิต เบาหวาน งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ และไปพบแพทย์ตามนัด รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อที่จะได้มีสุขภาพแข็งแรง สามารถเคลื่อนไหวช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่เป็นภาระของสมาชิกในครอบครัว
สำหรับคนในครอบครัว ให้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับแนวทางการดูแลผู้สูงอายุ ในครอบครัวและในชุมชน เช่น การออกแบบปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้สอดรับกับสภาพร่างกายของผู้สูงอายุซึ่งมีความเสื่อมไปตามวัย เช่น มีพื้นกันลื่นในห้องน้ำ มีราวจับตามทางเดิน เพื่อป้องกันผู้สูงอายุลื่นล้มในบ้านซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ เช่น กระดูกหักจนไม่สามารถเดินได้เป็นปกติ นอกจากนี้ ควรดูแลเรื่องอาหารการกินของผู้สูงอายุ ให้มีโภชนาการที่เหมาะสมกับวัย เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรงและไม่เจ็บป่วยได้ง่าย
ทั้งนี้ หากผู้สูงอายุเกิดปัญหาขึ้น เช่น ถูกทอดทิ้ง อาศัยอยู่ตัวคนเดียวแล้วไม่มีบุตรหลานคอยดูแล เจ็บป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ก่อให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิต สามารถของความช่วยเหลือจากชุมชน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานสงเคราะห์คนชรา หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ในเครือกรมกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ และการให้บริการสวัสดิการสังคมแก่คนไร้ที่พึ่ง ซึ่งเป็นสวัสดิการจากทางภาครัฐ ในการช่วยเหลือผู้สูงอายุในสังคมต่อไปตามความเหมาะสม
Inspire Now ! : วันผู้สูงอายุสากล เกิดขึ้นเพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ และมีมาตรการรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ โดยร่วมมือกันดูแลผู้สูงอายุในสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่ผลักผู้สูงอายุออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในหลายๆ ครอบครัว ผู้สูงอายุถือเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลาน เนื่องจากผู้สูงอายุแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม ก็ยังมีความรู้ความสามารถ และยังสามารถถ่ายถอดทั้งองค์ความรู้ วิชา ภูมิปัญญา และประสบการณ์ ให้กับผู้ที่อายุน้อยกว่าเพื่อนำความรู้และประสบการณ์เหล่านั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมถึงตัวผู้สูงอายุเองก็ได้ตระหนักว่า ตนยังเป็นบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคม และมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมให้เติบโตก้าวไปข้างหน้าได้เช่นเดียวกัน
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันมีความสุขใช่ไหม ? การเตรียมตัวสำหรับการก้าวเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ ทั้งจากทางรัฐบาลและจากตัวประชาชนเอง ก็จะทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพได้ ♡
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : stat.bora.dopa.go.th, ocsc.go.th, dop.go.th
Featured Image Credit : freepik.com/Lifestylememory