โรคภูมิแพ้อากาศ เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในคนไทย โดยเฉพาะในสังคมเมือง ที่มีมลภาวะทั้งทางอากาศ หรือแม้แต่ฝุ่นมากมาย ที่ก่อให้เกิดสารก่อภูมิแพ้ได้ ซึ่งสาเหตุของการ เป็นภูมิแพ้อากาศ นั้นเกิดจากอะไร และภูมิแพ้อากาศแตกต่างจากหวัดอย่างไร รักษาภูมิแพ้อากาศได้อย่างไรบ้าง ถ้าอยากรู้ทั้งหมดนี้ เรามาอ่านบทความนี้กันเลยค่ะ
เป็นภูมิแพ้อากาศ สาเหตุเกิดจากอะไร ? รักษายังไงได้บ้าง
ภูมิแพ้อากาศ เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง หรือทางการแพทย์เรียกอีกอย่างว่า จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) ซึ่งสาเหตุของการเป็นภูมิแพ้อากาศนั้น เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อจมูก เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ และทำให้ถูกกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ ได้แก่ อุณหภูมิและความชื้นในอากาศมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จึงกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ หรือมีการสัมผัสสูดดมสารระคายเคืองต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ มลพิษทางอากาศ รวมถึงฝุ่นละออง ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ เป็นต้น นอกจากนี้อีกสาเหตุที่พบคือกรรมพันธุ์ หากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศ ลูกที่เกิดมามีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นเช่นกัน
อาการของคนที่เป็นภูมิแพ้อากาศ
คนที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศนั้น จมูกจะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศอย่างมาก เมื่อสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นอากาศร้อนเกินไป เย็นเกินไป การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความชื้นในอากาศ รวมถึงเผชิญกับปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่เป็นการก่อภูมิแพ้ อาการที่พบ คือ คัดจมูก น้ำมูกไหล รู้สึกคันจมูกทำให้ต้องขยี้บ่อยๆ บางคนอาจมีอาการคันตา แสบตา น้ำตาไหล หรือเกิดอาการหูอื้อร่วมด้วย อาการจามบ่อยๆ มีน้ำมูกใส และคัดจมูกนั้น อาจเป็นช่วงใดช่วงหนึ่งของวัน หรือเป็นในช่วงเวลาที่ได้รับสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อาจมีอาการร่วม คือ คันตา คันคอ และบริเวณเพดานปาก หรือมีเสมหะลงคอ
ภูมิแพ้อากาศ ต่างจากเป็นหวัดอย่างไร ?
หลายคนคงสงสัยว่า อาการที่เรากำลังเป็นอยู่นั้น เรากำลังเป็นภูมิแพ้อากาศ หรือว่าเป็นโรคหวัดกันแน่ เพราะอาการเบื้องต้นของทั้งสองโรคนี้นั้นมีความคล้ายคลึงกัน เช่น อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จึงทำให้หลายคนไม่แน่ใจ่ว่าป่วยเป็นอะไร พอไปซื้อยามากินเองแล้วไม่หาย เพราะรักษาไม่ตรงจุด เพราะฉะนั้น มาดูวิธีการสังเกตกันดีกว่าว่าเราเป็นแค่หวัด หรือเป็นภูมิแพ้กันแน่ ความแตกต่างของทั้งสองโรคนี้ คือ หากว่าเราเป็นโรคหวัด ช่วงแรกเมื่อมีน้ำมูกนั้น น้ำมูกจะมีลักษณะใสและค่อยๆ ข้นขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง และจะไม่มีอาการคันจมูก หรืออาการอื่นๆ ร่วมด้วย อาจมีอาการไอ เจ็บคอ โดยระยะเวลาของโรคจะอยู่ที่ประมาณ 3-10 วัน
ในขณะที่โรคภูมิแพ้อากาศนั้น จะมีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ร่วมกับมีอาการคันจมูก คันตา และน้ำตาไหล แต่จะไม่มีไข้ และระยะเวลาของโรคจะยาวนานประมาณ 2 อาทิตย์ขึ้นไป ซึ่งจะแตกต่างกับโรคหวัดอย่างชัดเจน นอกไปจากนี้โรคหวัดอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะร่วมด้วย ซึ่งอาการนี้นอกจากโรคหวัดแล้ว ยังเป็นสาเหตุน้ำในหูไม่เท่ากันอีกด้วย ส่วนภูมิแพ้อากาศจะไม่มีอาการเหล่านี้
วิธีรักษาภูมิแพ้อากาศ
แม้ว่าโรคภูมิแพ้อากาศจะไม่ได้รุนแรงหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หากว่าไม่ได้เป็นร่วมกับโรคหอบหืด หรือร่วมกับอาการแพ้รุนแรง แต่การเป็นภูมิแพ้อากาศอาจทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการรักษานั้นจะมี 2 วิธีด้วยกัน ดังนี้
รักษาด้วยการใช้ยา
แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการที่เป็น เพื่อบรรเทาอาการแพ้ เช่น ยาแก้แพ้อากาศหรือยาต้านฮิสตามีน เพื่อลดการหลั่งสารฮิสตามีนที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้ โดยจะมีผลข้างเคียงของยา คือ อาการง่วงนอนหลังใช้ยา ร่วมกับการให้ยาลดน้ำมูก เพื่อลดอาการคัดจมูกและลดความดันที่ไซนัส นอกจากนี้อาจมีการให้ยาสเตียรอยด์ เช่น ยาพ่นจมูก ยาหยอดตา เพื่อใช้ลดการอักเสบและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป
รักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้
การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นวิธีรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัด โดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย และจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณยาขึ้นทีละน้อย จนกว่าอาการแพ้จะทุเลาลงหรือหายขาด โดยจะใช้เวลารักษาประมาณ 3-5 ปี แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องให้แพทย์เป็นผู้ตัดสินใจเท่านั้น ซึ่งแพทย์จะใช้วัคซีนสำหรับคนที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล แต่ก่อนจะเข้ารับการรักษา จะต้องได้รับการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Test) ก่อนว่ามีอาการแพ้สารอะไรบ้าง และต้องระมัดระวังอาการแพ้รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนด้วย ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนค่ะ
ดูแลตัวเองอย่างไร ห่างไกลภูมิแพ้
การรักษาโรคภูมิแพ้ นอกไปจากการใช้ยาและวัคซีนแล้วนั้น การดูแลตัวเอง เป็นอีกวิธีการรักษาโรคที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ คือ
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ ควันรถ หรือสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการภูมิแพ้กำเริบหรือเป็นหนักขึ้น รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นแบบฉับพลัน เช่น เดินตากแดดร้อนๆ มา ยังไม่ควรเดินเข้าห้องแอร์ทันที ให้รอในที่ร่มเพื่อให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิก่อน
- ดูแลบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะฝุ่นละอองและไรฝุ่นนั้น จะทำให้ไวต่อการสัมผัสได้ หมั่นทำความสะอาดพื้นบ้านด้วยการถู ซึ่งจะดีกว่าการกวาดที่ทำให้ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย และทำความสะอาดพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่น และควรเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง นอกจากนี้ควรเปิดหน้าต่างหรือผ้าม่านในห้อง เพื่อให้อากาศสามารถถ่ายเทได้ดี
- ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ได้ รวมถึงช่วยให้อาการเป็นภูมิแพ้อากาศค่อยๆ หายไป
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซม ฟื้นฟู และปรับสมดุลได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ไม่ควรนอนดึกจนเกินไป หรืออดนอนเป็นเวลานานๆ
- กินอาหารที่มีประโยชน์ การกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ จะช่วยเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ เพราะอาหารที่ดีจะช่วยดูแลรักษาสุขภาพของเรา หรือเลือกกินสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการ อย่างสมุนไพรรักษาไข้หวัดบางตัว เช่น ปราบชมพูทวีป มีสรรพคุณในการรักษาโรคภูมิแพ้อากาศและโรคหวัดในระยะเริ่มต้นได้ค่ะ
Inspire Now ! : ก็ได้คำตอบกันไปแล้วนะคะว่าอาการของคนที่เป็นภูมิแพ้อากาศ กับอาการของคนที่เป็นหวัดนั้น มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ซึ่งอาการของโรคหวัด ยังอาจพบว่ามีอาการเจ็บคออีกด้วย ซึ่งยาอมแก้เจ็บคอยี่ห้อไหนดีนั้น ลองอ่านจากบทความของเราได้เลย ส่วนคนที่เป็นภูมิแพ้ จะไม่พบอาการเจ็บคอแต่อย่างใด สำหรับใครที่กำลังเผชิญอยู่กับโรคภูมิแพ้อากาศนั้น สิ่งสำคัญในการรักษาภูมิแพ้อากาศเลยก็คือ ต้องทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อให้มีภูมิต้านทานที่ดี นอกไปจากการออกกำลังกาย กินอาหารที่ดีมีประโยชน์แล้วนั้น อย่าลืมทำตามคำแนะนำของแพทย์และกินยารักษาร่วมด้วยนะคะ |
---|
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันได้คำตอบเกี่ยวกับการเป็นภูมิแพ้อากาศใช่หรือไม่ ? อย่าลืมดูแลตัวเองและหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อให้ไกลจากโรคภูมิแพ้ และช่วยให้อาการทุเลาลงได้ค่ะ ♡
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : paolohospital.com, bangkokpattayahospital.com, pobpad.com
- Author Profile
หาข้อมูล-ลงมือเขียนและเรียบเรียงโดยทีมกองบรรณาธิการเว็บไซต์ DIY INSPIRE NOW