ตู้เย็นยี่ห้อไหนดี ประหยัดไฟ ? รวม 10 ยี่ห้อไม่กินไฟ ช่วยเซฟเงินในกระเป๋า!
ตู้เย็นยี่ห้อไหนดี ประหยัดไฟ บอกต่อยี่ห้อ ไม่กินไฟ ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน ช่วยเซฟค่าไฟ จะเลือก ตู้เย็น ประหยัดไฟ อย่างไร ให้เหมาะกับการใช้งาน
เมื่อครั้งที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน หลายๆ คนก็คงจะได้เรียนเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับการทำฝนหลวงกันมาบ้าง และทราบว่า ฝนหลวง เป็นฝนเทียมที่ทำขึ้นโดยคณะปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อให้มีฝนตกมากขึ้น แล้วจุดกำเนิดของการทำฝนหลวงนั้น มีความเป็นมาอย่างไร ? เนื่องในวันที่ 14 พฤศจิกายน เป็นวันสำคัญคือ “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” เราจะพาทุกคนไปรู้ถึงประวัติความเป็นมาของโครงการฝนหลวงกันให้มากขึ้น ฝนหลวง แท้จริงแล้วคืออะไร ? มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีความสำคัญอย่างไร ? ไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงประวัติความเป็นมาของวันสำคัญวันนี้ เรามาดูกันก่อนว่า ฝนหลวง คืออะไร ? ฝนหลวง คือโครงการที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีจุดประสงค์เพื่อสร้างฝนเทียมสำหรับบรรเทาความแห้งแล้งให้กับพสกนิกร ที่เผชิญกับเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และสำหรับการทำการเกษตร จึงมีพระดำริที่จะแก้ไขปัญหาส่วนนี้ขึ้น
ฝนเทียม หรือฝนหลวง เป็นฝนที่เกิดจากเมฆที่ได้รับการกระตุ้นหรือเสริมกระบวนการให้ก่อตัวใหญ่ขึ้นจนสามารถตกลงเป็นฝนในพื้นที่เป้าหมาย และตกในปริมาณที่มากกว่าการตกเองตามธรรมชาติ โดยความมาของวันพระบิดาแห่งฝนหลวงมีจุดเริ่มต้นดังนี้
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่เป็นองค์กรที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ไว้วางพระราชหฤทัย ให้เป็นองค์กรรองรับโครงการพระราชดำริฝนหลวงมาตั้งแต่เริ่มโครงการ จึงได้เสนอในคณะรัฐมนตรีมีมติเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 ในฐานะ “พระบิดาแห่งฝนหลวง” และให้ทุกวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสแสดงความจงรักภักดี ชื่นชมในพระบารมี และร่วมกันถวายสดุดีเฉลิมพระเกียรติในทุกปี และรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงคิดค้นการทำฝนหลวงขึ้น เพื่อบรรเทาทุกข์ภัยของราษฎรสืบมา
ฝนหลวง เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนอันเนื่องมาจากการประสบกับปัญหาภัยแล้งในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ท้องถิ่นหลายแห่งประสบปัญหาพื้นดินแห้งแล้ง หรือการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และทำการเกษตร อีกประการหนึ่งคือ ภาวะความต้องการใช้น้ำในประเทศมีปริมาณสูงขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม และการทำเกษตรกรรม เพื่อมิให้เกิดการขาดแคลนน้ำใช้ และมีน้ำเพียงพอ จึงได้มีการทำฝนหลวงขึ้นนั่นเอง ซึ่งสารเคมีที่ใช้สำหรับการทำฝนหลวงนี้ ไม่ใช่สารเคมีอันตรายแต่อย่างใด เป็นสารที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน อาทิ เกลือแกง หรือยูเรียที่ใช้ผสมในปุ๋ยเพื่อการเกษตร รวมถึงน้ำแข็งแห้งที่ใช้กันทั่วไปนั่นเอง
ทั้งนี้ การทำฝนหลวงยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ในสมัยนั้น และในประเทศไทยยังไม่มีนักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญในระยะเริ่มแรกโครงการ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงทรงเป็นกำลังสำคัญ และทรงร่วมพัฒนาโครงการนี้ พระองค์ทรงวางแผนการทดลองปฏิบัติการติดตามและประเมินผลปฏิบัติการทุกครั้งอย่างใกล้ชิด เพื่อให้โครงการสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ได้ โดยพระองค์ทรงมีหลักทศพิธราชธรรม 10 ประจำใจ มีความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะ เสียสละเวลาส่วนพระองค์และมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาให้กับเหล่าพสกนิกรได้สำเร็จ
ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า วิธีการทำฝนหลวงมี 3 ขั้นตอนคือ เลี้ยงให้อ้วน ก่อกวน และโจมตี ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวนั้น ถูกพัฒนามาจากการทดลองโดยการหยอดก้อนน้ำแข็งแห้งขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่การทดลอง และทำให้กลุ่มเมฆเหล่านั้นเกิดการกลั่นตัวรวมกันหนาแน่น และก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับการยืนยันจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทำการทดลองจริง จึงได้มีการปรับปรุงต่อยอดเป็นโครงการฝนหลวงมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีขั้นตอนดังนี้
เป็นขั้นตอนที่มีการใช้โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง)ไปกระตุ้นให้มวลอากาศเกิดการลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เพื่อให้เกิดกระบวนการดูดซับไอน้ำและความชื้นเข้าสู่ระบบการเกิดเมฆ และให้เมฆเริ่มมีการก่อตัวมากขึ้น
เมื่อเมฆกำลังก่อตัว จึงทำการโปรยแคลเซียมคลอไรด์ตรงกลุ่มก้อนเมฆในอัตราที่เหมาะสม เพื่อเป็นการดูดความชื้นและคลายความร้อน เพื่อให้เมฆไหลเวียนและก่อยอดสูงขึ้น โดยจะต้องให้กระบวนการเกิดละอองเมฆสมดุลกับการลอยตัวของเมฆ มิเช่นนั้นจะทำให้เมฆสลาย ในขั้นตอนนี้ จำเป็นที่จะต้องอาศัยประสบการณ์ ความชำนาญเป็นอย่างมาก
เมื่อกลุ่มเมฆฝนมีความหนาแน่นมากพอที่จะสามารถตกเป็นฝนได้ ในขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนการสร้างเม็ดฝนโดยการโปรยยูเรียลงในกลุ่มก้อนเมฆ เพื่อให้เกิดเป็นหยดน้ำขนาดใหญ่ และกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝนในที่สุด ซึ่งมีเทคนิคการโจมตีแบบ SUPER SANDWICH และพระราชทานให้ใช้เป็น “ตำราฝนหลวงพระราชทาน” เป็นต้นมา
นอกจากการบรรเทาปัญหาภัยแล้งแล้ว การปฏิบัติการฝนหลวงก็ได้รับการร้องขอเพื่อให้ขยายขอบเขตการบรรเทาความเดือดร้อนจากการพัฒนาอุตสาหกรรม และภาวะสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ การทำฝนหลวงจึงมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการมีส่วนช่วยเหลือในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย ได้แก่
นอกจากนี้ ยังสามารถแก้ไขปัญหาด้านการเสริมเส้นทางคมนาคมทางน้ำ เมื่อปริมาณน้ำลดต่ำลง จะไม่สามารถสัญจรทางเรือได้ จึงต้องมีการทำฝนเทียมเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำให้กับแม่น้ำ และให้สามารถสัญจรทางเรือได้ตามเดิม ทั้งการสัญจรของผู้คน และการส่งสินค้าทางเรือด้วย
ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่า ประวัติความเป็นมาของวันพระบิดาแห่งฝนหลวง มีความเป็นมาอย่างไร และความสำคัญของการทำฝนหลวง คืออะไร ฝนหลวง เป็นโครงการในพระราชพระราชดำริส่วนพระองค์ที่มีจุดเริ่มต้นเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากให้กับราษฎร ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยด้วยพระองค์เอง และพัฒนามาเป็นฝนเทียมกู้ภัยแล้งเพื่อบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับการใช้น้ำของพสกนิกรสืบมา
Inspire Now ! : จะเห็นได้ว่า จุดเริ่มต้นของการทำฝนหลวงนั้น มาจากพระประสงค์ที่อยากจะแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับพสกนิกร ประกอบกับการสังเกตสภาพอากาศของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำให้เมฆบนท้องฟ้ามีการรวมตัวกันและเกิดเป็นฝนตกลงมาได้ ซึ่งใช้เวลาศึกษาค้นคว้าวิจัยนานถึง 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 – พ.ศ. 2512 ที่ได้ทำการทดลองครั้งแรก ด้วยความมุมานะอุตสาหะและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทำให้โครงการนี้สำเร็จในที่สุด จึงได้มีการจัดให้วันที่ 14 พฤศจิกายน เป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” ซึ่งเป็นวันที่เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดการทำฝนเทียมนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีโครงการในพระราชดำริอีกมากมาย ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อบรรเทาปัญหาให้กับพสกนิกรชาวไทยนั่นเอง |
---|
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? โครงการฝนหลวง เกิดขึ้นได้ก็เพราะพระประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่อยากจะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ซึ่งจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น ล้วนมาจากความต้องการที่อยากจะแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาให้ดีขึ้นทั้งสิ้น ซึ่งเราสามารถนำเอาแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตของตัวเองได้ เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นนั่นเอง และถ้าใครชอบเรื่องราวแบบนี้ ไปอ่าน ประวัติไปรษณีย์ไทยกันต่อได้เลยนะ ♡
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : rainmaking.royalrain.go.th, ipst.ac.th, mnre.go.th, huahin.royalrain.go.th
Featured Image Credit : unsplash.com/Anna Atkins
ตู้เย็นยี่ห้อไหนดี ประหยัดไฟ บอกต่อยี่ห้อ ไม่กินไฟ ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน ช่วยเซฟค่าไฟ จะเลือก ตู้เย็น ประหยัดไฟ อย่างไร ให้เหมาะกับการใช้งาน
อริสโตเติล คือใคร อริสโตเติล ผลงาน มีอะไรบ้าง ทำไมถึงยังมีอิทธิพลมาจนถึงยุคปัจจุบัน อริสโตเติล แนวคิด มีอะไรบ้าง จะพัฒนาตนเองแบบนี้ได้อย่างไร
แอร์ยี่ห้อไหนประหยัดไฟที่สุด แนะนำ 10 ยี่ห้อช่วยเซฟค่าไฟ อัพเดทปี 2024 แอร์ยี่ห้อไหนดี 12000 BTU บอกวิธีเลือกแอร์ที่ช่วยประหยัดไฟได้ดี