จัดสรรเวลา อย่างไร ? ให้มี Work Life Balance สมดุลชีวิตสร้างได้จริง แค่เริ่มทำ !
ชวนรู้จักความสำคัญ และวิธีการ จัดสรรเวลา เพื่อให้มี Work Life Balance ความสมดุลในชีวิตทำให้เกิดความสุข และประสิทธิภาพในระยะยาวยังไง ต้องอ่าน
เมื่อเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นในชีวิต เคยรู้สึกอยากขอบคุณบางสิ่งบางอย่างมั้ยคะ ? จะเป็นการขอบคุณอะไรก็ได้ เช่น ขอบคุณโอกาสดีๆ ที่เข้ามาในชีวิต ขอบคุณคนรอบตัวที่คอยให้กำลังใจ ขอบคุณใครบางคนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเราและทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม หรืออาจจะเป็นการขอบคุณเรื่องง่ายๆ อย่างการขอบคุณที่วันนี้ได้กินอาหารอร่อยๆ ขอบคุณที่ท้องฟ้าสดใส ขอบคุณที่ได้เห็นดอกไม้สวยๆ แล้วทำให้เรารู้สึกสดชื่นมากขึ้น ซึ่งความรู้สึกขอบคุณนี้ เรียกว่า Gratitude คือ ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่มีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งจะทำให้เรามองโลกในแง่บวกมากขึ้นและมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้นได้ Gratitude มีความสำคัญอย่างไร แล้วส่งผลดีต่อชีวิตของเราอย่างไรบ้าง DIYINSPIRENOW จะพาไปทำความเข้าใจกันในบทความนี้ค่ะ
ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความท้าทาย การหยุดชั่วขณะเพื่อซาบซึ้งในสิ่งดีๆ รอบตัวเราอาจเป็นเรื่องที่มองข้ามไปได้ง่าย แต่การฝึกฝน “gratitude” หรือความกตัญญูกลับเป็นกุญแจสำคัญสู่ชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายมากขึ้น ความกตัญญูไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงมารยาทที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นทัศนคติที่สามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของเราต่อโลกและตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง การฝึกฝนความกตัญญูอย่างสม่ำเสมอสามารถนำมาซึ่งความสุข ความพึงพอใจในชีวิต และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้อื่น ลองมาสำรวจความหมาย ความสำคัญ และวิธีการนำ gratitude มาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วยกันค่ะ
Gratitude หรือความกตัญญู เป็นอารมณ์ความรู้สึกเชิงบวกที่ลึกซึ้งและซับซ้อน เป็นการตระหนักรู้และซาบซึ้งในคุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยหรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ความกตัญญูไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การรู้สึกขอบคุณต่อของขวัญหรือความช่วยเหลือที่ได้รับเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการชื่นชมในประสบการณ์ ความสัมพันธ์ โอกาส และแม้กระทั่งความท้าทายที่ช่วยให้เราเติบโต
ความกตัญญูเป็นการมองเห็นและยอมรับในคุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่เรามักมองข้ามในชีวิตประจำวัน เช่น สุขภาพที่ดี มิตรภาพ ครอบครัว หรือแม้แต่ธรรมชาติรอบตัว มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจและพึงพอใจกับสิ่งที่เรามี แทนที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราขาด ความกตัญญูยังหมายถึงการตระหนักว่าสิ่งดีๆ ในชีวิตเราไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ แต่มักมาจากการกระทำของผู้อื่น จากโชค หรือจากความพยายามของตัวเราเอง นอกจากนี้ ความกตัญญูยังเป็นทัศนคติที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ เป็นวิธีการมองโลกที่เน้นการเห็นคุณค่าและความงามในทุกๆ วัน แม้ในยามที่เผชิญกับความยากลำบาก การฝึกฝนความกตัญญูอย่างสม่ำเสมอสามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของเราต่อชีวิต ช่วยให้เรามองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ แม้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย ทำให้เรามีความยืดหยุ่นทางอารมณ์มากขึ้น และสามารถรับมือกับความเครียดและความผิดหวังได้ดีขึ้น
สรุปก็คือ gratitude คือการเปิดใจและเปิดตาของเราให้กว้างขึ้น เพื่อมองเห็นและซาบซึ้งในความงามและคุณค่าของชีวิต ทั้งในสิ่งเล็กน้อยและสิ่งยิ่งใหญ่ เป็นพลังบวกที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราและผู้อื่นรอบข้างให้ดีขึ้นได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งการแสดงออกถึง gratitude อาจทำได้หลายวิธี เช่น
gratitude สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายลักษณะ โดยแต่ละประเภทสะท้อนถึงมิติต่างๆ ของความกตัญญูในชีวิตประจำวัน ซึ่งแต่ละประเภทของความกตัญญูนี้มีความสำคัญและสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตโดยรวม การฝึกฝนความกตัญญูในทุกมิติเหล่านี้จะช่วยให้เรามีมุมมองที่สมดุลและเต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งในชีวิต ลองมาดูรายละเอียดต่อไปนี้กันค่ะ
เป็นการแสดงความซาบซึ้งต่อผู้ที่มีส่วนในการช่วยเหลือ สนับสนุน หรือสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่แสดงน้ำใจ การแสดงความกตัญญูประเภทนี้ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และสร้างพันธะทางอารมณ์ระหว่างบุคคล
เกี่ยวข้องกับการตระหนักและชื่นชมในสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาหาร เสื้อผ้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การรู้สึกขอบคุณในสิ่งเหล่านี้ช่วยให้เรามีความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น และลดความรู้สึกอยากได้อยากมีที่ไม่จำเป็น
เป็นการซาบซึ้งในโอกาส และประสบการณ์ต่างๆ ที่เราได้รับในชีวิต ทั้งประสบการณ์ที่สนุกสนาน ท้าทาย หรือแม้แต่ยากลำบาก การมองเห็นคุณค่าในทุกประสบการณ์ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
เป็นการชื่นชมในความงาม และความมหัศจรรย์ของโลกรอบตัว ทั้งทิวทัศน์ สภาพอากาศ พืช สัตว์ และระบบนิเวศ การตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างเรากับธรรมชาติช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ใหญ่กว่า
เป็นการยอมรับและชื่นชมในคุณค่า ความสามารถ และความพยายามของตัวเราเอง รวมถึงการซาบซึ้งในร่างกาย สุขภาพ และจิตใจของเรา การฝึกความกตัญญูต่อตนเองจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ และการเห็นคุณค่าในตัวเอง
เป็นการมองเห็นด้านบวก และโอกาสในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ในยามที่เผชิญกับความท้าทายหรือความยากลำบาก การฝึกมองหาสิ่งดีๆ ในทุกสถานการณ์จะช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นทางอารมณ์และสามารถรับมือกับปัญหาได้ดีขึ้น
Gratitude หรือความกตัญญูนั้น มีหลากหลายและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตในหลายด้าน มาดูกันค่ะว่าจะสำคัญต่อชีวิตเรายังไงบ้าง
เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่โดดเด่นที่สุดของการฝึกความกตัญญู เพราะการมุ่งเน้นไปที่สิ่งดีๆ ในชีวิตจะช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเราฝึกมองหาสิ่งที่น่าขอบคุณในแต่ละวัน สมองของเราจะเริ่มปรับตัวให้มองเห็นด้านบวกมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการหลั่งสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความพึงพอใจ เช่น เซโรโทนินและโดปามีน
การแสดงความกตัญญูต่อผู้อื่นจะช่วยสร้างความผูกพันและความเข้าใจระหว่างบุคคล เมื่อเราแสดงความซาบซึ้งต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างบรรยากาศของความเมตตาและความเอื้ออาทรในสังคม
นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนความกตัญญูอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราฝึกมองหาสิ่งดีๆ ในชีวิตประจำวัน เราจะเริ่มมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้มากกว่าอุปสรรคและข้อจำกัด ทัศนคตินี้จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับความท้าทายได้ดีขึ้น และมองเห็นทางออกในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เมื่อเราฝึกรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่มีอยู่ เราจะรู้สึกอิ่มเอมใจและพอใจกับปัจจุบันมากขึ้น แทนที่จะรู้สึกขาดแคลนหรือต้องการสิ่งที่ยังไม่มี ความพึงพอใจนี้นำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนและความรู้สึกเติมเต็มในชีวิต
เป็นทักษะที่พัฒนาขึ้นจากการฝึกความกตัญญู เมื่อเราสามารถมองเห็นด้านบวกแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราจะมีความสามารถในการปรับตัวและรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น ความยืดหยุ่นนี้จะช่วยให้เราฟื้นตัวจากความผิดหวังหรือความล้มเหลวได้เร็วขึ้น และมีพลังในการเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ
ซึ่งประโยชน์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการฝึกฝนความกตัญญูไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสภาพจิตใจเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม ความสัมพันธ์กับผู้อื่น และความสามารถในการรับมือกับความท้าทายในชีวิต การนำ Gratitude มาใช้ในชีวิตประจำวันจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการพัฒนาตนเองและสร้างชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายมากยิ่งขึ้น
วิธีการแสดงออกถึง Gratitude หรือความกตัญญูมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบุคลิกภาพของแต่ละคนได้ ลองมาดูรายละเอียดกันค่ะ
เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพมากที่สุด การกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” ด้วยความจริงใจไม่เพียงแต่แสดงความซาบซึ้งของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความรู้สึกดีให้กับผู้รับด้วย การขอบคุณควรทำอย่างเฉพาะเจาะจง โดยระบุถึงสิ่งที่เราขอบคุณและผลกระทบที่มีต่อเรา เช่น “ขอบคุณที่คุณช่วยฟังฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก” การแสดงความขอบคุณแบบนี้จะมีความหมายลึกซึ้งและจริงใจมากกว่าการกล่าวขอบคุณแบบผิวเผิน
วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยให้เราได้ใคร่ครวญและซึมซับความรู้สึกกตัญญูได้มากขึ่น เพราะการจดบันทึกสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณในแต่ละวันช่วยฝึกให้เรามองหาสิ่งดีๆ ในชีวิตอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้อาจทำได้โดยการเขียนลงในสมุดบันทึก แอปพลิเคชันในโทรศัพท์ หรือแม้แต่การพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์ และการทบทวนบันทึกเหล่านี้ในภายหลังยังช่วยเตือนใจเราถึงสิ่งดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วย
เป็นการแสดงความกตัญญูผ่านการกระทำ เมื่อเราได้รับความช่วยเหลือหรือความเมตตาจากผู้อื่น การตอบแทนด้วยการช่วยเหลือกลับหรือทำสิ่งดีๆ ให้กับพวกเขา เป็นวิธีที่แสดงถึงความซาบซึ้งอย่างเป็นรูปธรรม การตอบแทนนี้ไม่จำเป็นต้องมีมูลค่าเท่ากัน แต่ควรมาจากความตั้งใจจริงและความปรารถนาดี
เป็นการใช้เวลาคิดทบทวนถึงสิ่งดีๆ ในชีวิต วิธีนี้อาจทำได้ผ่านการนั่งสมาธิ การสวดมนต์ หรือเพียงแค่การใช้เวลาเงียบๆ คิดถึงสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณ การใคร่ครวญจะช่วยให้เราเชื่อมโยงกับความรู้สึกกตัญญูอย่างลึกซึ้ง และช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้มากขึ้น
การแบ่งปันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นมองเห็นสิ่งดีๆ ในชีวิตของพวกเขาด้วย การแบ่งปันอาจทำได้ผ่านการพูดคุยกับเพื่อน การโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ หรือแม้แต่การเขียนบล็อก
เป็นวิธีที่แสดงความกตัญญูโดยไม่ต้องใช้คำพูด การแสดงออกเหล่านี้สามารถสื่อถึงความรู้สึกขอบคุณได้อย่างลึกซึ้งและจริงใจ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารทางร่างกาย
วิธีการแสดงออกถึง Gratitude เหล่านี้สามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความสะดวกของแต่ละบุคคล การผสมผสานวิธีต่างๆ เข้าด้วยกันจะช่วยให้การแสดงความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ หรือความกตัญญูมีความหลากหลายและมีความหมายมากยิ่งขึ้น ซึ่งการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การแสดงความกตัญญูกลายเป็นนิสัยที่ช่วยเพิ่มความสุข และคุณภาพชีวิตโดยรวมได้
การฝึกฝนความรู้สึกซาบซึ่งขอบคุณ หรือความกตัญญูเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความตั้งใจและความสม่ำเสมอ เริ่มต้นด้วยการสร้างความตระหนักรู้ในชีวิตประจำวัน โดยพยายามสังเกตและชื่นชมสิ่งดีๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือสิ่งที่เรามักมองข้าม การฝึกฝนแบบนี้ อาจเริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง หรือหาสิ่งที่น่าขอบคุณอย่างน้อยสามอย่างในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองของเราให้มองเห็นด้านบวกมากขึ้น ลองมาดูทิปส์เพิ่มเติมในการฝึกกันค่ะ
นี่คือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการฝึกฝน การเขียนบันทึกสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณทุกวัน อาจเป็นช่วงเช้าเพื่อเริ่มต้นวันด้วยทัศนคติที่ดี หรือช่วงก่อนนอนเพื่อทบทวนสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตลอดวัน การเขียนบันทึกนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งที่น่าขอบคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นบันทึกที่เราสามารถกลับมาอ่านเพื่อสร้างกำลังใจในยามที่รู้สึกท้อแท้อีกด้วย
นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกซาบซึ้ง ลองใช้เวลาสั้นๆ ในแต่ละวันนั่งสมาธิ และคิดถึงสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณ การฝึกนี้ช่วยให้เราเชื่อมโยงกับความรู้สึกกตัญญู ขอบคุณใจในของเรา และช่วยลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นวิธีที่ช่วยฝึกฝนความกตัญญูและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในเวลาเดียวกัน โดยการตั้งเป้าหมายขอบคุณคนอื่นอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการขอบคุณด้วยวาจา การเขียนจดหมาย หรือการส่งข้อความ การแสดงความขอบคุณนี้ควรทำอย่างเฉพาะเจาะจงและจริงใจ โดยระบุถึงสิ่งที่เราขอบคุณและผลกระทบที่มีต่อเราค่ะ
นี่เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้การฝึกฝนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เช่น การพูดถึงสิ่งที่รู้สึกขอบคุณก่อนรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว หรือการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ของวันกับคนรักก่อนนอน วิธีแบบนี้จะช่วยสร้างนิสัยของการมองหาสิ่งดีๆ ในชีวิตและแบ่งปันความรู้สึกนั้นกับผู้อื่น
แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การพยายามมองหาบทเรียนหรือโอกาสในการเติบโตจะช่วยให้เรามีมุมมองที่สมดุลและยืดหยุ่นมากขึ้น เราอาจจะรู้สึกว่าการฝึกฝนนี้ท้าทายในช่วงแรก แต่เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นทางอารมณ์ และความสามารถในการรับมือกับปัญหาได้
การใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนอีกทางเลือกที่น่าสนใจ มีแอปพลิเคชันมากมายที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการบันทึก และติดตามความ gratitude ของเรา บางแอปมีการแจ้งเตือนเพื่อเตือนให้เราหยุดพัก และคิดถึงสิ่งที่น่าขอบคุณในแต่ละวันด้วย
การฝึกฝนเรื่องนี้เป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ยิ่งเราฝึกฝน เราจะยิ่งพบว่ามีสิ่งมากมายในชีวิตที่น่าขอบคุณ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ความกตัญญูกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและมุมมองของเรา ส่งผลให้เรามีความสุข มีความพึงพอใจในชีวิต และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้นค่ะ
ความท้าทายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฝึกฝนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เช่นเดียวกับเรื่อง gratitude ดังนั้นการตระหนักถึงความท้าทาย และหาวิธีรับมือที่เหมาะสมจะช่วยให้การฝึกฝนมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งความพยายาม และความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและนิสัยต้องใช้เวลา แต่ผลลัพธ์ที่ได้ในระยะยาวนั้นคุ้มค่ากับความพยายามอย่างแน่นอน ลองมาดูรายละเอียดเพิ่มเติมกันต่อค่ะ
เป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญในการฝึกความกตัญญู เมื่อเราใช้ชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ เรามักจะมองข้ามสิ่งดีๆ ที่มีอยู่เป็นประจำ เช่น สุขภาพที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่น หรือการมีงานทำ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติจนเราลืมรู้สึกขอบคุณ การเอาชนะความท้าทายนี้ต้องอาศัยความพยายามในการสร้างความตระหนักรู้ใหม่ อาจเริ่มจากการตั้งเตือนให้ตัวเองหยุด และพิจารณาสิ่งที่เรามักมองข้ามในแต่ละวัน หรือลองจินตนาการว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสิ่งเหล่านี้
บางครั้งอาจยากที่จะรู้สึกขอบคุณเมื่อเผชิญกับปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยากลำบาก ความเครียด ความวิตกกังวล หรือความซึมเศร้าอาจทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งดีๆ ในชีวิต การเอาชนะความท้าทายนี้ต้องอาศัยความพยายามในการปรับเปลี่ยนมุมมอง อาจเริ่มจากการฝึกมองหาบทเรียน หรือโอกาสในการเติบโตจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือพยายามมองหาสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังดีอยู่แม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย
นี่คือนิสัยที่มักบั่นทอนความรู้สึกซาบซึ้ง ขอบคุณ กตัญญูของเรา เมื่อเรามัวแต่มองสิ่งที่ผู้อื่นมีแต่เราไม่มี เราอาจลืมชื่นชมสิ่งที่เรามีอยู่ สื่อสังคมออนไลน์มักทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้นได้ เพราะเรามักเห็นแต่ด้านที่ดีที่สุดของชีวิตผู้อื่น การเอาชนะความท้าทายนี้อาจทำได้โดยการจำกัดเวลาในการใช้สื่อสังคม และฝึกมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตนเองแทนที่จะเปรียบเทียบกับผู้อื่น
ความไม่สม่ำเสมอ เป็นอุปสรรคที่ทำให้การฝึกความกตัญญูไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะว่าการฝึกเป็นครั้งคราว อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน การเอาชนะความท้าทายนี้ต้องอาศัยการสร้างนิสัย และฝึกให้เป็น routine ในชีวิตประจำวัน อาจทำได้โดยการกำหนดเวลาที่แน่นอนในการฝึกความกตัญญู เช่น ก่อนนอนทุกคืน หรือใช้เทคโนโลยีช่วยเตือน เช่น การตั้งการแจ้งเตือนในโทรศัพท์
บางครั้งการพยายามรู้สึกขอบคุณอาจดูเหมือนเป็นการฝืนหรือไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อเราเพิ่งเริ่มฝึ หรือเมื่อเราอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การเอาชนะความท้าทายนี้ต้องอาศัยความเข้าใจว่าความรู้สึกกตัญญูไม่ได้หมายความว่าเราต้องมีความสุขตลอดเวลา แต่เป็นการยอมรับว่ามีสิ่งดีๆ อยู่แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของเรา การเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ และค่อยๆ พัฒนาความรู้สึกนี้อย่างเป็นธรรมชาติจะช่วยให้การฝึกมีความจริงใจมากขึ้น
ความกตัญญูหรือ Gratitude เป็นแนวคิดที่มีอยู่ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ลองมาดูข้อมูลเพิ่มเติมในแต่ละวัฒนธรรมที่กระจายอยู่ตามแต่ละประเทศต่างๆ ของโลกเรากันค่ะ
แนวคิด “Ubuntu” เน้นความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และการแสดงความกตัญญูต่อชุมชน หลายเผ่ามีพิธีกรรมและเทศกาลที่แสดงความขอบคุณต่อบรรพบุรุษและธรรมชาติ
มีพิธีกรรมและเทศกาลที่แสดงความกตัญญูต่อธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เทศกาลขอบคุณพระเจ้าของชาวอเมริกันที่ได้รับอิทธิพลจากประเพณีของชนพื้นเมือง
ความกตัญญูในวัฒนธรรมต่างๆ มักมีจุดร่วม คือการตระหนักถึงความดีที่ได้รับ การแสดงความขอบคุณ และการตอบแทนคุณ แม้จะมีรูปแบบการแสดงออกที่แตกต่างกันไปตามบริบททางวัฒนธรรมก็ตาม
Inspire Now ! : Gratitude คือ สิ่งที่ทำให้เราไม่หลงลืมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในชีวิต และทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สัตว์ สิ่งขของ สถานการณ์ ลมฟ้าอากาศ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมก็ตาม ความรู้สึกขอบคุณซาบซึ้งใจทำให้เรามองโลกในแง่ดีมากขึ้น รู้จักชื่นชมสิ่งต่างๆ มากขึ้น เกิดความพึงพอใจและสุขใจมากขึ้น มองเห็นสิ่งดีๆ มากกว่าสิ่งแย่ๆ และอาจช่วยเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อโลกใบนี้ไปเลยก็ได้ ลองฝึกขอบคุณดูนะคะ เราอาจจะมีความสุขในชีวิตมากขึ้นก็ได้ค่ะ |
---|
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? มีใครเคยฝึกการมี Gratitude มาแล้วบ้างคะ แล้วส่งผลดีต่อตัวเองยังไงบ้าง มาคอมเมนต์เล่าให้ฟังได้เลยนะคะ ♡
ชวนรู้จักความสำคัญ และวิธีการ จัดสรรเวลา เพื่อให้มี Work Life Balance ความสมดุลในชีวิตทำให้เกิดความสุข และประสิทธิภาพในระยะยาวยังไง ต้องอ่าน
พัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยPDCA ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่ช่วยให้ลงมือทำได้จริง พร้อมตัวอย่างการใช้ในองค์กร และเคล็ดลับปรับปรุงงานแบบเห็นผล
ชวนดูคำแนะนำการ ปฏิเสธสัมภาษณ์งาน เมื่อเจองานที่ยังไม่ใช่ พร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย และทิปส์สำหรับคนอยากสัมภาษณ์งานแล้วได้งาน