ชวนดู วิธีบอกรักทางอ้อม เอาใจคนพูดไม่เก่ง แต่รักมากมาย ! แสดงความรักยังไงให้รู้ว่าเรารักเค้าแค่ไหน !
แนะนำ 10 วิธีบอกรักทางอ้อม แสดงความรักยังไงแม้ไม่เอ่ยคำว่ารัก มี วิธีบอกรักแฟน ยังไงบ้างให้เค้ารู้ว่าเรารักเค้าแค่ไหนใครบอกรักไม่เก่ง มาอ่านกัน
เรื่องของสิ่งแวดล้อมนั้น นับเป็นประเด็นใหญ่ที่ทั้งโลกจะต้องให้ความสำคัญ นอกจากการกำหนดวันสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนคนทั่วไปได้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีแคมเปญ มีโครงการอื่นๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย และไม่ใช่แค่ว่าจะต้องเป็นหน่วยงานใหญ่หรือองค์กรใหญ่ๆ เท่านั้นที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันประเด็นนี้ การกระทำของคนตัวเล็กๆ อย่างเราๆ ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน สำหรับเดือนมีนาคมนี้ เราอยากจะชวนคุณริบบิ้น (นิชาภา นิศาบดี) มาพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่เธอเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีจุดยืนด้านการ รักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อม อย่างตั้งมั่น อะไรเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ผลักดันในคุณริบบิ้นอยากจะสื่อสารในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นขนาดนี้ ไปพูดคุยกับเธอให้มากขึ้นกัน
เรานัดกันที่ตลาดจริงใจ มาร์เก็ต ตลาดขายสินค้าออร์แกนิกในเมืองเชียงใหม่ นอกจากจะขายสินค้าจำนวกผักผลไม้ปลอดสารพิษแล้ว ยังมีสินค้างานคราฟต์ สินค้าแฮนด์เมดของผู้ประกอบการท้องถิ่นมาวางจำหน่ายด้วย ตลาดเองก็มีจุดยืนด้านการรักสิ่งแวดล้อมและมีความเป็น Eco – Friendly โดยการงดใช้ถุงพลาสติกใส่ของให้กับลูกค้า เน้นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และมีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นจุดนัดพบที่สอดคล้องกับเรื่องที่เราอยากจะคุยกับคุณริบบิ้นมากๆ ว่าแล้วก็ไปอ่านบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับมุมมองในเรื่องสิ่งแวดล้อมของคุณริบบิ้นกันเลยค่ะ
เราให้คุณริบบิ้นแนะนำตัวเองสั้นๆ ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เธอแนะนำตัวเองอย่างสดใสว่า “สวัสดีค่ะ ชื่อริบบิ้น นิชาภา นิศาบดี อายุ 28 ปี ตอนนี้มีอยู่ 3 บทบาทด้วยกัน คือ เป็นนักดนตรีอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นเจ้าของบริษัทสามสี่โปรดักชั่น ทำงานเกี่ยวกับการผลิตสื่อภาพและเสียงทุกประเภท และบทบาทที่สามก็คือ เป็นนักกินผักค่ะ ” คุณริบบิ้นบอกว่า มักจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนกินผักหรือนักกินผักเสียมากกว่า เพื่อเป็นการสื่อว่า ตัวเธอเองคือคนกินพืช และอยากจะกินพืชกินผักเป็นหลัก เพื่อที่จะได้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งคุณริบบิ้นเป็นคนที่ไม่บริโภคอาหารอย่างเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด แต่เราก็แอบถามเธอไปว่า เราสามารถเรียกเธอว่าเป็น “นักสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อม” ได้ไหม เพราะคุณริบบิ้นมีจุดยืนในเรื่องของสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน และอยากที่จะสื่อสารในประเด็นนี้ออกไป เธอคิดสักพักแล้วก็บอกกับเราว่า ได้ เธอชอบคำนั้น เพราะเธอเป็นคนที่ชอบสื่อสารจริงๆ
คุณริบบิ้นเล่าให้ฟังว่า ในช่วงวัย 10 ปี หรือในช่วงวัยมัธยม เป็นช่วงที่เธอได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต ตามแต่โอกาสที่จะเข้ามา ซึ่งได้ลองทำกิจกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งด้านดนตรี กีฬา ไม่ว่าจะเป็นเต้นลีลาศ เต้นโปงลาง เล้นฆ้องวงใหญ่ เล่นระนาด เล่นกีฬา แข่งปิงปอง ว่ายน้ำ คุณริบบิ้นบอกว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบลองทำกิจกรรมทุกประเภท โดยที่ไม่มีความกลัวสิ่งๆ นั้น ทำให้ได้มีโอกาสลองอะไรหลายๆ อย่าง ช่วงวัยสิบปีของคุณริบบิ้นเป็นช่วงที่ได้ลองทำสิ่งต่างๆ แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรเป็นพิเศษ “เป็นช่วงวัยที่มีประสบการณ์ได้ลองทำสิ่งต่างๆ มากที่สุดในชีวิต เป็นช่วงที่ยังไม่ได้เจอทางที่ใช่ แต่รู้ว่าตัวเองไม่ชอบทำอะไรที่มันเดิมๆ ชอบไปพบปะผู้คน ชอบคุยกับคนใหม่ๆ ชอบลองอะไรใหม่ๆ แล้วก็เรียนรู้ที่จะไม่ปฏิเสธอะไรเลยในชีวิต ณ ตอนนั้น” ทั้งนี้ คุณริบบิ้นก็เสริมว่า การได้ลองทำสิ่งต่างๆ ช่วงนั้น ทำให้เธอตกหลุมรักการเล่นดนตรี จึงเป็นที่มาของการเป็นนักดนตรีและนักร้อง หนึ่งในบทบาทของเธอตอนนี้ด้วย และรู้ว่าตัวเองเป็นคนชอบเอ็นเตอร์เทน ชอบสื่อสาร ชอบพูดคุย ส่วนในเรื่องของการรักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อม นั้นเธอเพิ่งมาสนใจในประเด็นนี้ก็ช่วงตอนพ้นวัยเรียนจบมหาวิทยาลัยไปแล้ว ซึ่งเราจะคุยกับเธอในคำถามต่อไปค่ะ
ด้วยความที่เป็นคนชอบสื่อสาร ชอบในสายงานเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คุณริบบิ้นจึงเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ตอนที่เรียนอยู่ในคณะนิเทศาสตร์ ทำให้เราได้รู้ว่า หัวใจของการสื่อสารมันไม่ได้อยู่ที่การทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มันสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่สามารถสื่อสารได้ บิ้นเลือกภาควิชาโทรทัศน์วิทยุและการกระจายเสียง” ซึ่งการเรียนในภาควิชานี้ ทำให้คุณริบบิ้นเข้าใจกระบวนการเกี่ยวกับการผลิตสื่อและสื่อสารออกมาเป็นทางภาพและเสียง ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เธอบอกว่า นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมายังเชียงใหม่ เพราะว่าได้งานแรกที่เชียงใหม่ในตำแหน่งครีเอทีฟรายการทีวีรายการหนึ่ง เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนทำงานที่บริษัทแห่งนี้ บังเอิญว่าเจ้านายเป็นคนญี่ปุ่น ทำให้มีโอกาสเดินทางไปๆ มาๆ เชียงใหม่ – ญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์แหล่งข้อมูลอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักดนตรีอยู่ที่โอกินาวา และเป็นคนที่มีวิธีการกินแบบวีแกน การที่ได้พูดคุยสัมภาษณ์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์การกินอาหารของเขาและได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญของการกินมังสวิรัติ เป็นการเปิดประสบการณ์ทำให้คุณริบบิ้นได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้เพิ่มเติมมากขึ้น
“หน้าที่ของเราตอนนั้นคือ กลับบ้านไปถอดเทปในสิ่งที่สัมภาษณ์มา ทำให้เราได้ไปรีเสิร์ชข้อมูลเพิ่มเติม และต้องการเข้าใจมากกว่านี้ว่า ทำไมคนเราต้องกินมังสวิรัติ แล้วก็รู้สึกช็อก เพราะมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ผ่านการกิน รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จริงๆ งานแรก คือสิ่งที่จุดประกายในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเลยค่ะ” การได้ไปสัมภาษณ์แหล่งข้อมูลในครั้งนั้น ทำให้คุณริบบิ้นได้ตระหนักถึงความเกี่ยวโยงกันระหว่างการกินเนื้อสัตว์ที่มันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโลก และทำให้มุมมองที่มีต่อการบริโภคเนื้อสัตว์เปลี่ยนไปอย่างถาวร “มันเจอจุดเชื่อมโยงระหว่างเรากับโลกใบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เหมือนที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตเพื่อตัวเราเองคนเดียว โดยที่ไม่ได้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่มันกำลังเกิดขึ้น มันมาจากตัวเราอีกหลายๆ คน พอเห็นจุดเชื่อมโยงนั้น ยอมรับว่าช็อกแล้วก็ตกใจ”
“มันเจอจุดเชื่อมโยงระหว่างเรากับโลกใบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เหมือนที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตเพื่อตัวเราเองคนเดียว โดยที่ไม่ได้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่มันกำลังเกิดขึ้น มันมาจากตัวเราอีกหลายๆ คน”
การรีเสิร์ชข้อมูลเพิ่มเติมในครั้งนั้น ทำให้คุณริบบิ้นรู้ว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของฝุ่นควัน การที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผลพวงมาจากการทำอุตสาหกรรมปศุสัตว์หรือการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่อยอดมาจากความต้องการในการบริโภคเนื้อสัตว์ของมนุษย์ “คนอยากกิน ก็เลยมีคนอยากผลิต เมื่อมีคนอยากผลิต ก็ต้องไปหาที่ผลิต ซึ่งมันก็เกิดเป็นวงจรเหล่านี้ขึ้น จนบิ้นคิดได้ว่า เราอยู่ในวงจรนี้ด้วย เราเป็นผู้กิน ดังนั้นก็คงต้องแก้ตรงนี้ ถ้าเราอยากมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือในเรื่องของสิ่งแวดล้อม” นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอมีความตั้งใจว่า จะเลิกกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มทดลองการใช้ชีวิตแบบไม่กินเนื้อสัตว์โดยการทิ้งท้ายหักดิบด้วยการกินแซลมอนโรล 2 แถว แต่ตั้งใจว่า จะไม่กินเนื้อสัตว์อีก จากนั้นก็เริ่ม Explore ร้านขายอาหารมังสวิรัติในเชียงใหม่แต่ละร้าน ซึ่งเธอพบว่ามันสนุก และอาหารมังสวิรัติก็รสชาติอร่อยกว่าที่เธอคิดไว้มาก “เราเปลี่ยนที่ความรู้สึกว่า เราลองไม่กินเนื้อสัตว์เลย แล้วรอดูว่ามันจะทำได้นานขนาดไหน ซึ่งสำหรับตัวบิ้นเองมันไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะเราเข้าใจหมดแล้วว่า ถ้าเราลดการกินได้มันน่าจะดี”
จุดเริ่มต้นของการเลิกกินเนื้อสัตว์ของเธอมาจากความอยากรู้อยากลองว่า จะทำได้จริงๆ หรือเปล่า ด้วยความที่ตัวคุณริ้บบิ้นเองเป็นคนชอบทดลอง อยากรู้อยากลองมาตั้งแต่เด็กๆ และเธอก็มีความเชื่อว่า ทุกอย่างมันเป็นไปได้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของตัวเอง เมื่อทดลองไม่กินเนื้อสัตว์และเน้นการกินผักเป็นหลัก ทำให้เธอได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง ทั้งระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น จากคนที่เคยท้องผูกก็ขับถ่ายง่ายขึ้น และเห็นว่าร่างกายของตัวไม่ได้ปรับตัวยาก ยังคงมีพลังงานในการดำเนินชีวิต ไม่ได้รู้สึกอ่อนเพลียแต่หรือไม่มีแรงแต่อย่างใด ซึ่งคุณริบบิ้นก็ทำแบบนั้นมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ปีที่ 5 ของการเป็นนักกินผักอย่างเต็มตัว
“เราเปลี่ยนที่ความรู้สึกว่า เราลองไม่กินเนื้อสัตว์เลย แล้วรอดูว่ามันจะทำได้นานขนาดไหน ซึ่งสำหรับตัวบิ้นเองมันไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะเราเข้าใจหมดแล้วว่า ถ้าเราลดการกินได้มันน่าจะดี”
คุณริบบิ้นเล่าให้เราฟังว่าแรกๆ เองก็มีช่วงที่ต้องใส่ใจกับอาหารการกินเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งจะต้องถามถึงเครื่องปรุงหรือวัตถุดิบของเมนูทุกอย่าง หรือเข้าไปรับประทานอาหารในร้านที่เป็นวีแกนเท่านั้น แล้วก็มีอีกเรื่องที่คุณริบบิ้นสำคัญคือ เรื่องของการใช้ชีวิตกับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้กินแบบตัวเธอเอง “บิ้นเองก็ไปอ่านข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์การเป็นวีแกนมา แล้วก็ชอบตรงที่บอกว่า อย่าลืมบอกคนรอบตัวด้วยว่า เรากินอะไร เพื่อเป็นการรักษาความรู้สึกของคนใกล้ตัว โดนเฉพาะคนที่บ้านในกรณีที่ทำอาหารมาให้เรา แล้วเราไม่สามารถกินได้” ทั้งนี้ เธอก็ยังมีการเชิญชวนเพื่อนๆ หรือคนรอบๆ ตัวให้ไปลองกินอาหารมังสวิรัติหรือเมนูประเภท Plant – based food อีกด้วย ซึ่งเมื่อรอบข้างรู้แล้วว่าตัวเธอเองเป็นมังสวิรัติ ก็จะคอยระวังเรื่องการกินให้กับตัวเธอเป็นพิเศษ “เมื่อมีคนรู้แล้วว่าเราไม่กินเนื้อสัตว์ ก็จะมีความใจดีคอยระวังให้เรา เช็กให้เราว่าเมนูไหนเรากินได้ กินไม่ได้ หรือเลือกร้านอาหารที่เราสามารถกินได้ในตอนที่ไปกินข้าวด้วยกัน ก็เป็นความน่ารักของคนรอบข้าง” หลังจากคนรอบตัวรู้ว่าคุณริบบิ้นมีวิถีการกินแบบไหน ทำให้ความกดดันในการกินมังสวิรัติของเธอลดน้อยลง และทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ จนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ได้มีความยากอะไร
เมื่อช่วงประมาณสามปีก่อน คุณริบบิ้นเคยเปิดร้านอาหารมังสวิรัติที่ชื่อว่า “สมถะ” แม้ในตอนนี้เธอจะไม่ได้ทำร้านอาหารอีกแล้ว แต่การเปิดร้านอาหารในครั้งนั้น ถือเป็นการสื่อสารในเรื่องประเด็นการกินผักที่เกี่ยวข้องกับการรักสิ่งแวดล้อมให้คนเห็นภาพได้อย่างชัดเจนมากที่สุด “ตอนนั้นบิ้นรู้สึกอยากเล่าให้คนฟังว่า ต้องกินมังสวิรัติทำไม ซึ่งมันยังติดอยู่ในใจของบิ้น แต่เราไม่อยากไปยืนประท้วงเรียกร้อง หรืออยากจะไปบังคับใครให้มากินกับเรา แล้วก็รู้สึกว่าร้านอาหารเป็นความน่ารัก และเป็นพื้นที่ที่จะสามารถสื่อสารหรือบอกต่อประเด็นเรื่องการกินผักได้อย่างชัดเจน”
“ตอนนั้นบิ้นรู้สึกอยากเล่าให้คนฟังว่า ต้องกินมังสวิรัติทำไม แต่เราไม่อยากไปยืนประท้วงเรียกร้อง หรืออยากจะไปบังคับใครให้มากินกับเรา แล้วก็รู้สึกว่าร้านอาหารเป็นความน่ารัก และเป็นพื้นที่ที่จะสามารถสื่อสารหรือบอกต่อประเด็นเรื่องการกินผักได้อย่างชัดเจน”
จากการที่คุณริบบิ้นได้ไปทดลองกินอาหารมังสวิรัติตามร้านต่างๆ และรู้สึกว่า บรรยากาศร้านอาหารเป็นพื้นที่ที่สามารถมาพูดคุยและบอกเล่าเรื่องราวของการกินผักที่มันเกี่ยวโยงถึงการรักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อมได้ จึงตัดสินใจเปิดร้านอาหารมังสวิรัติร้านเล็กๆ เพื่อให้เป็นพื้นที่ที่สามารถสื่อสารเรื่องราวของการกินผักได้เป็นวงกว้างมากขึ้น และมีพื้นฐานของการทำร้านคือ ต้องอิ่มและอร่อย เข้าถึงง่าย กินแล้วรู้สึกดีกับอาหารประเภทนั้นๆ ซึ่งเธอบอกว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสื่อสารออกไป และในระยะเวลา 3 ปีที่เปิดร้าน ทำให้คนอื่นๆ เข้าใจไอเดียในเรื่องของการกินที่มันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลกที่เธออยากจะสื่อสารมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันตลาดอาหารวีแกนก็เติบโตมากขึ้น มีอาหารรสชาติอร่อยๆ ออกมาวางขายมากมาย ทำให้สังคมมองเห็นและเข้าใจว่า มีไลฟ์สไตล์และวิธีการกินแบบนี้อยู่เหมือนกัน
เมื่อถึงช่วงการระบาดของ COVID – 19 ที่มีการล็อคดาวน์ ทำให้ไม่สามารถขายอาหารที่ร้านได้ คุณริบบิ้นจึงพัฒนาต่อยอดมาเป็นการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ ส่งอาหารตามบ้านต่างๆ “มันเป็นธุรกิจแรกของเรา เราก็คิดโมเดลธุรกิจมาแบบใหม่ ลูกค้ามากินที่ร้านไม่ได้ เราก็ไปหาลูกค้าแทน แต่พอทำไปได้สักพัก ก็คิดว่าถ้าลูกค้าเยอะขึ้น เราก็ต้องซื้อกล่องอาหารเยอะขึ้น แล้วเราก็คิดในเรื่องของขยะด้วยว่าถ้ากล่องมันเหลือ มันก็ต้องกลายเป็นขยะ” จากนั้นก็เลยกลายมาเป็นไอเดียผูกปิ่นโต โดยการให้ลูกค้าใช้กล่องอาหารของตัวเอง โดยที่เป็นกล่องที่สามารถล้างได้แล้วนำมาใช้ซ้ำได้ ก็เลยตั้งเงื่อนไขให้ลูกค้าใช้กล่องที่มีในบ้านของตัวเองเป็นภาชนะใส่อาหารของที่ร้าน ซึ่งเธอบอกว่า วิธีนี้สามารถลดขยะแล้วก็ช่วยในเรื่องของสิ่งแวดล้อมได้จริง เป็นการ reused หรือกลับนำมาใช้ซ้ำ เพราะทางร้านเองก็ไม่สนับสนุนในการใช้พลาสติกแบบ single – use ที่สามารถกลายเป็นขยะได้ ซึ่งคนที่เป็นลูกค้าก็เข้าใจในจุดนี้ และยินดีทำตามเงื่อนไขของทางร้าน “ตรงนี้มันทำให้เราเข้าใจได้ว่า บางคนก็อยากมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม เราในฐานะผู้ประกอบการ ถ้าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความตั้งใจของลูกค้ามันมีความเป็นไปได้ มันก็เกิดผล”
“มันทำให้เราเข้าใจได้ว่า บางคนก็อยากมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม เราในฐานะผู้ประกอบการ ถ้าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความตั้งใจของลูกค้ามันมีความเป็นไปได้ มันก็เกิดผล”
คุณริบบิ้นเสริมว่า การทำอาหารมังสววิรัติขายด้วยการผูกปิ่นโต ก็ทำให้คนได้กินอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ได้ลดขยะ แม้ว่าจะเป็นการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ก็ตาม ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดี แม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก แต่ก็สามารถบริหารจัดการได้ ที่สำคัญคือ มีคนได้รับรู้แล้วก็เข้าใจในเรื่องการกินอาหารมังสวิรัติมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ธุรกิจของเธอดูจะไปได้ดี แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจปิดร้านอาหารเมื่อตอนช่วงเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา (ปี 2565) คุณริบบิ้นเล่าให้ฟังว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ธุรกิจมันดูว่าจะไปได้ดีและมีการขยายตัวมากขึ้น จะต้องมีการจัดการธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมันขัดกับความตั้งใจแรกในการเปิดร้านของเธอ “ถ้าพูดในแง่ของความยั่งยืนทางธุรกิจ บิ้นจะต้องปรับตัวเยอะ แต่การปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจไปต่อ มันจะหลุดจากกรอบของความสมถะไป อะไรที่เข้าสู่ระบบของความเป็นอุตสาหกรรม มันจะมีสัญญาณบางอย่างบอกว่า นี่มันขัดกับจุดยืนและอุดมการณ์ของเรา”
เมื่อการจัดการธุรกิจกับอุดมการณ์รักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อมที่เธอยึดถือมาตลอดมีความขัดแย้งกัน และมาถึงจุดที่เธอต้องเลือกระหว่างธุรกิจกับอุดมการณ์ของเธอ “แน่นอนว่าบิ้นเลือกฝั่งอุดมการณ์ก่อน” เธอกล่าวอย่างแน่วแน่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณริบบิ้นตัดสินใจเบรกธุรกิจนี้เอาไว้ก่อน และกลับมาคุยกับตัวเองว่า เครื่องมือในการสื่อสาร มันจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งความตั้งใจในการทำร้านอาหารของเธอในตอนแรกก็เพื่อต้องการจะสื่อสารให้คนอื่นๆ รับรู้เกี่ยวกับประเด็นการบริโภคอาหารที่มันส่งผลกระทบต่อโลกของเรา แล้วร้านอาหารก็ทำหน้าที่ตรงนั้นได้ในส่วนหนึ่งแล้ว “ทุกคนเสียดายที่ต้องปิดร้านนี้ แต่ไม่ได้เสียใจ เพราะพวกเค้าได้มีความเข้าใจมากขึ้นแล้ว และร้านก็ได้สื่อสารอย่างที่เราต้องการแล้ว”
ถึงแม้ร้านอาหารจะปิดตัวไป แต่ตัวคุณริบบิ้นเองก็ยังคงมีไลฟ์สไตล์การกินที่เหมือนเดิม เธอเล่าให้ฟังว่า ลูกค้าที่เคยกินอาหารที่ร้านของเธอ ก็ยังคงกินมังสวิรัติอยู่เช่นเดิม จึงคิดว่าสิ่งที่เธอตั้งใจทำตั้งแต่แรก ก็ไม่ได้สูญเปล่า ทำให้เธอสามารถ Move on ไปทำในส่วนอื่นๆ หรือสื่อสารด้วยวิธีการอื่นๆ ตามศักยภาพที่ตัวเองมีได้ต่อไป ถึงแม้จะปิดร้าน แต่คนที่ติดตามอยู่ในเพจร้านอาหารเดิมก็มีจำนวนมาก (ปัจจุบันมีผู้ติดตาม 4.7 พันคน) และเป็นแบบออแกนิก นั่นทำให้คุณริบบิ้นตกตะกอนกับตัวเองได้ว่า เพจร้านอาหารของเธอก็ไม่ได้สูญเปล่าเช่นกัน “บิ้นแค่เปลี่ยนหัวใจของมันนิดหน่อย ให้มันเปิดกว้างมากขึ้น และพูดถึงประเด็นที่มากกว่าแค่เรื่องของอาหาร และกลายมาเป็นเรื่องของ Holistic life ที่มีความยั่งยืนและเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์แบบครบองค์รวม”
“บิ้นแค่เปลี่ยนหัวใจของมันนิดหน่อย ให้มันเปิดกว้างมากขึ้น และพูดถึงประเด็นที่มากกว่าแค่เรื่องของอาหาร และกลายมาเป็นเรื่องของ Holistic life ที่มีความยั่งยืนและเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์แบบครบองค์รวม”
เธอบอกกับเราว่า การสื่อการแค่เรื่องกินอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ จึงต้องมีการขยายความและส่งต่อในเรื่องของวิถีชีวิต และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันหมด ทำให้เธออยากจะใช้เพจนี้เป็นพื้นที่สำหรับการสื่อสารในประเด็นที่มันกว้างกว่าแค่เรื่องของอาหาร และในบทบาทตอนนี้ที่เธอเป็นเจ้าของบริษัทโปรดักส์ชั่น คุณริบบิ้นมีความตั้งใจไว้ว่า อยากจะผลิตสื่อที่ส่งต่อเรื่องราวของผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ โดยมีแกนของเรื่องคือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกินที่เป็น Plant – based food และอยากจะถ่ายถอดเรื่องราวของผู้ประกอบการท้องถิ่นในเชียงใหม่ที่มีจุดยืนเรื่องวีแกน รวมถึงคนที่มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างน่าสนใจ ซึ่งเธออยากจะชวนคนเหล่านั้นมาพูดคุยกัน เธออยากจะให้เพจเป็นพื้นที่ที่มีเรื่องราวของผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์การดูแลตัวเองแบบองค์รวมที่ทั้งดีต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจ และดีต่อโลก รวมถึงแบ่งปันในเรื่องของการรักสิ่งแวดล้อม และมุมมองที่มีต่ออาหารมังสวิรัติ
อีกโปรเจคหนึ่งที่เธออยากจะทำคือ การแจกสูตรอาหารมังสวิรัติที่ได้เคยทำในร้านของตัวเอง “เราอยากให้ทุกคนลองเอาไปทำให้คนที่บ้านกินดู เราคิดมาแล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องไม่สูญเปล่า และมันสามารถส่งต่อให้คนอื่นได้ เราอยากให้คนที่อยู่ในคอมมูนิตี้ของเรา รวมถึงคนที่อยู่ไกล ได้รู้จักอาหารมังสวิรัติมากขึ้น” คุณริบบิ้นอยากให้เพจของเธอกลายเป็นสื่อในการบอกเล่าข่าวสาร เป็นผู้บอกต่อเรื่องราวที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องราวของผู้คน การแชร์ข่าวสารกิจกรรม การแนะนำสินค้าที่มีความ Eco – Friendly และอื่นๆ อีกมากมาย จากเพจร้านอาหารเพียงอย่างเดียว จึงกลายมาเป็น Samata Life สมถะไลฟ์ คอมมูนิตี้ที่ส่งต่อเรื่องราวของการรักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อมในประเด็นที่หลากหลายขึ้นนั่นเอง และคนที่เคยติดตามเพจร้านอาหารมาก่อนก็ยังไม่หายไปไหน และยังคงรอติดตามว่า จะมีเรื่องราวใหม่ๆ อะไรเกิดขึ้นต่อไป
เราถามคุณริบบิ้นในเรื่องเทรนด์การกินปัจจุบันว่า ในมุมมองของเธอเอง คิดว่าเทรนด์การกินในปัจจุบันทำให้คนหันมาสนใจในเรื่องของการกินวีแกนหรืออาหารที่เป็น Plant – based food มากขึ้นมั้ย เธอบอกกับเราว่า โดยส่วนตัวแล้วก็เห็นว่ามันมีส่วนด้วยเหมือนกัน และเล่าให้เราฟังเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทรนด์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเฉพาะทางฝั่งของอเมริกาที่เรื่องของการกินส่งผลกระทบในเรื่องของสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการผลิตอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และมีการทำปศุสัตว์เป็นจำนวนมาก ทั้งยังส่งผลในเรื่องของสุขภาพ อย่างเบาหวาน โรคอ้วน ไขมันสูง และอื่นๆ ทำให้เกิดการตระหนักถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างวิถีการกินกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทั้งนี้ คุณริบบิ้นให้ความเห็นว่า ความเป็นเทรนด์ในเรื่องของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมกำลังมาแรงในปัจจุบัน เพราะคนเห็นปัญหาที่มันเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ประกอบด้วยมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้คนเข้าใจแล้วก็รับรู้กันมากขึ้น “แต่ทีนี้ พอมันเป็นเทรนด์ มันก็น่ากังวลว่า ถ้าเทรนด์มันมา แล้วมันจะหายไปเหมือนเทรนด์อื่นๆ หรือเปล่า มันจะมีความยั่งยืนมั้ย ถ้าหากตัวเลือกในท้องตลาดน้อยลง หรือไม่ก่อให้เกิดเป็นไลฟ์สไตล์ เช่น ทำกับข้าวกินเองที่บ้าน หรือไปสั่งอาหารที่เป็นมังสวิรัติในร้านทั่วไปจนเป็นนิสัย ถ้าร้านอาหารมังสวิรัติลดลง คนที่ตามเทรนด์ก็อาจจะรู้สึกว่าไม่มีทางเลือก แล้วพฤติกรรมการกินที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ก็อาจจะลดลงตาม” คุณริบบิ้นตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจและชวนให้คิดตามว่า ถึงแม้จะเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน แต่ถ้ามันไม่ก่อให้เกิดเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่ทำกันจนเป็นนิสัย ในวันใดวันหนึ่งมันอาจจะไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป และไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืน
“ สำหรับบิ้น บิ้นคิดว่า สิ่งที่ยั่งยืนคือความรู้ ถ้ารู้แล้ว ก็จะสามารถปรับพฤติกรรมได้ และเกิดเป็นวิถีชีวิตที่สามารถทำได้ไปตลอด ถึงแม้จะไม่มีร้านอาหารแล้ว เราก็ยังไม่หยุดที่จะสื่อสารข้อมูลความรู้ในส่วนนี้ให้คนเข้าใจ เผื่อจะนำไปประยุกต์กับชีวิตประจำวันได้”
เราถามเกี่ยวกับสารคดีที่ชื่อว่า “ผูกปิ่นโต” ซึ่งคุณริบบิ้นและทีมได้ผลิตแล้วก็ส่งประกวดในโครงการ CCCL Film Festival เทศกาลหนังสั้น โลกป่วยเราต้องเปลี่ยน ซึ่งชนะในรางวัล Jury Award โดยโครงการนี้ จัดการประกวดเกี่ยวกับหนังสั้นหรือสารคดีเกี่ยวกับการรักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ต้องการจะสื่อสารในประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์เรือนกระจก และอื่นๆ “เรารู้สึกว่าเรากับโครงการนี้มีหัวใจเดียวกัน แล้วเราก็เรียนนิเทศศาตร์มาด้วย เราสามารถผลิตสื่อในรูปแบบที่น่าจะตอบโจทย์ของโครงการได้ ตอนนั้นก็คิดว่า จะทำเรื่องอะไรดี ไปๆ มาๆ ก็คิดว่า ทำเรื่องของตัวเองนี่แหละ” สารคดีของเธอนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอเอง ทั้งมุมมองในเรื่องของสิ่งแวดล้อม การทำร้านอาหาร การผูกปิ่นโต และไลฟ์สไตล์ของการเป็น “คนกินผัก” เธอบอกกับเราว่า เมื่อตอนทำร้านอาหาร เธอยังมีอะไรอีกมากมายที่อยากจะสื่อสารไปยังลูกค้าและคนอื่นๆ แต่ยังไม่มีโอกาส และคิดว่าการทำสารคดีครั้งนี้ คือโอกาสอันดีที่เธอสามารถถ่ายทอดความในใจของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น
แน่นอนว่าเธอรู้สึกดีใจมากๆ และก็รู้สึกดีที่ทางโครงการชอบเรื่องราวของเธอ ทางนั้นบอกกับเธอว่า ได้เห็นมุมมองของเธอในเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่ชวนติดตาม และคนทั่วไปก็สามารถมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ ซึ่งมันทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เรื่องของสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว และเป็นเรื่องของทุกคน เนื่องจากเป็นเรื่องของอาการกิน มันจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แล้วทุกคนสามารถมีส่วนร่วมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในทิศทางดีที่ขึ้นได้เช่นกัน
“มันเป็นเรื่องของส่วนบุคคลจริงๆ ถ้าคิดว่า มันก็แค่นี้เอง สามารถทำได้ง่ายๆ ก็จะทำได้” เธอขยายความว่า ถ้าแต่ละคนคิดว่าการ รักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อม มันไม่ใช่เรื่องยาก ใครก็ทำได้ มันก็จะก่อให้เกิด Action ซึ่งเธออยากจะเป็นคนที่มีส่วนร่วมในการผลักดัน ให้ข้อมูล และสร้างการรับรู้ให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญในประเด็นนี้ เพื่อก่อให้เกิดทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไป “บิ้นคิดว่า เรื่องข้อมูลความรู้ และการสื่อสาร ยังเป็นจุดสำคัญที่จะพาให้เราเกิดความคิดที่ว่า ฉันก็สามารถทำได้” เธอเลยคิดว่าการเล่าเรื่องของตัวเอง การแสดงให้เห็นจุดเชื่อมโยงว่าการกินของมนุษย์เราและสิ่งแวดล้อมมันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร อาจสร้าง Impact สร้างการรับรู้ และก่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น สำหรับใครที่อยากชมสารดีเรื่องนี้ ก็สามารถรับชมได้ที่ ccclfilmfestival.com
“บิ้นคิดว่า เรื่องข้อมูลความรู้ และการสื่อสาร ยังเป็นจุดสำคัญที่จะพาให้เราเกิดความคิดที่ว่า ฉันก็สามารถทำได้”
เมื่อถามถึงวิธีการอื่นๆ ที่จะช่วยให้คนทั่วไปหันมาสนใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น นอกจากสิ่งที่คุณริบบิ้นกำลังทำอยู่ในทุกวันนี้ เธอบอกกับเราว่า ต้องให้เกิดการตระหนักและให้เห็นภาพว่า การใช้ชีวิตของเราในแต่ละวัน มันก่อให้เกิดผลกระทบในเรื่องของสิ่งแวดล้อมจริงๆ “อย่างภาพของเต่าทะเลที่โดนหลอดทิ่มจมูก คนทั่วไปที่เห็นก็อาจจะรู้สึกสงสารเต่า และอยากจะลดการใช้หลอดมากขึ้น” เธอเสริมว่า ถึงแม้บางครั้งร้านค้าจะยื่นหลอดให้เราโดยอัตโนมัติ เราก็ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ หรือบอกปฏิเสธไปว่าไม่รับหลอด ไม่รับถุงพลาสติก ถ้าหากได้พลาสติกที่เป็น single – use มา ก็พยายามใช้ซ้ำหลายๆ ครั้งให้ได้มากที่สุด หรือใช้ให้น้อยลง ซึ่งก็อาจก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ เธอบอกว่า มันต้องมาจากการกระทำของหลายๆ คน เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเห็นผลจริง
“ถ้าเราตื่นมาในทุกเช้าด้วยความคิดที่ว่า วันนี้เราจะทำลายโลกให้น้อยที่สุด จะทำได้ด้วยวิธีอะไรบ้าง ถ้าจะให้บิ้นลองชวนทุกคนมาช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม บิ้นอยากจะชวนคุณทำแค่นี้ก่อนเลย”
สำหรับคำถามนี้ คุณริบบิ้นให้มุมมองที่น่าสนใจทีเดียว เธอบอกว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เธออยากให้มันเกิดขึ้นนั้น ตัวเธอเองคงไม่ทันได้เห็นมัน เพราะอาจจะต้องใช้เวลาเป็นเจ็ดสิบแปดสิบปี เธอบอกว่า เธออยากเห็นโลกที่มีความสมดุล เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคอุตสาหกรรม จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย “การปรับสมดุลโลก อาจช่วยชะลอการหมดไปของทรัพยากร มนุษย์เราอาจจะสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้โดยทีมีต้นไม้เยอะขึ้น ถ้าเราใจกว้างพอ และรู้สึกอยากขอบคุณโลกที่เราอยู่จริงๆ เราอาจจะไม่ต้องรอเห็นความเปลี่ยนแปลงที่มันจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเรา แค่เรารู้ว่ามันจะไปในทิศทางไหน และเริ่มต้นทำตั้งแต่วันนี้” เธอกล่าวติดตลกว่า ลูกหลานของเราในอนาคตอาจจะคุยกันว่า เป็นเพราะบรรพบุรุษของพวกเขาช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมในตอนนั้น ทำให้โลกยังมีต้นไม้อยู่ก็ได้
แต่ถ้าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เธออยากให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน เธออยากให้สังคมและสภาพแวดล้อมที่ใช้ชีวิตอยู่ในทุกวันมีความรู้และเข้าใจในเรื่องของการรักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น และอำนวยความสะดวกให้มันเกิดสิ่งนั้นได้จริง เช่น ร้านค้าต่างๆ ลดการใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือร้านอาหารอื่นๆ มีเมนูวีแกนหรือเมนูมังสวิรัติมากขึ้น และรับรู้ว่ายังมีกลุ่มคนที่เห็นความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมจริงๆ พร้อมๆ กับอยากให้ทุกๆ คนมีการตระหนักรู้ว่า การกระทำของเรา มันจะส่งผลต่อโลกและสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง ทั้งต้นไม้ อากาศ ทะเล แหล่งน้ำ สัตว์น้อยใหญ่อื่นๆ เพราะโลกของเราไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น อย่างที่กล่าวไปว่า เรื่องของสิ่งแวดล้อมนั้นมันเป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ และจำเป็นที่ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วม เพื่อให้โลกของเราดีขึ้นได้จริงๆ
คุณริบบิ้นนั่งคิดสักพัก แล้วบอกกับเราว่า ถ้ามีสิ่งที่เธออยากจะบอกกับตัวเอง คงจะเป็นการตอบตัวเองว่า ความสงสัยที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน มันได้รับการคลี่คลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในตอนที่ตัดสินใจจะเลิกกินเนื้อสัตว์ คุณริบบิ้นเกิดคำถามกับตัวเองว่า มันจะสามารถทำได้จริงไหม ตัวเธอเองจะทำได้หรือเปล่า ซึ่งในตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า เธอทำได้จริง ความไม่อยากกินเนื้อสัตว์มันหายไปจริงๆ แล้วก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองทำได้ และยังเป็นการให้คำตอบกับคนอื่นด้วยว่า วิถีการกินแบบนี้มันสามารถทำได้จริง และอยากจะชวนให้คนอื่นมาลองแบบเธอบ้าง “มันรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการบอกข้อมูลหรือให้คำแนะนำคนอื่นๆ เพราะบิ้นได้ลองกับตัวเองแล้ว แล้วในวันนี้มันทำได้ และถ้าใครสนใจ ก็ลองหาวิธีการที่มันสบายใจกับตัวเอง แล้วก็ลองดู แต่ถ้าลองแล้วไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร” เธอเสริมว่า ถ้าอยากจะขอบคุณ เธออยากขอบคุณคนรอบข้างที่เข้าใจในการกระทำของเธอ ไม่กดดันเธอ เข้าใจในสิ่งที่เธอเลือกกิน ซึ่งเธอมองว่า การสนับสนุนและความเข้าใจของคนรอบข้างหรือคนรอบตัวก็มีความสำคัญมากๆ เช่นกัน
“มันรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการบอกข้อมูลหรือให้คำแนะนำคนอื่นๆ เพราะบิ้นได้ลองกับตัวเองแล้ว แล้วในวันนี้มันทำได้ และถ้าใครสนใจ ก็ลองหาวิธีการที่มันสบายใจกับตัวเอง แล้วก็ลองดู แต่ถ้าลองแล้วไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร”
เธอกล่าวทิ้งท้ายว่า คงจะเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ หรือปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเองที่ทำแล้วส่งผลดีต่อโลกของเรา โดยสามารถทำได้ง่ายๆ อย่างการเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ การลดขยะ การลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก และทำได้เลย แล้วเธอก็บอกว่า ถ้าคนอ่านมีเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สามารถไปพูดคุยกับเธอได้ในเพจหรือคอมเมนต์มาได้เลย เพราะเธออยากจะรู้เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์หรือวิถีการปฏิบัติของคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เป็นการแบ่งปันข้อมูลให้แก่กัน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดทางเลือกใหม่ หรือวิธีการดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีต่างๆ ที่จะสามารถทำได้ไปพร้อมๆ กัน
Inspire Now ! : จากจุดเริ่มต้นที่คุณริบบิ้นเป็นนักทดลองไม่กินเนื้อสัตว์ในวันนั้น สู่การเป็นนักปฏิบัติได้จริงในวันนี้ ก็ด้วยเพราะเธอไม่เคยปิดโอกาสในการทดลองทำสิ่งต่างๆ ตามที่เธออยากจะรู้ และอยากจะลองทำ และค้นพบว่ามันสามารถทำได้จริงๆ ซึ่งคุณริบบิ้นเองก็อยากจะสื่อสารในประเด็นนี้ออกไปในวงกว้างมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมสามารถทำได้หลายวิธี เริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้อย่างการกินข้าวให้หมดจาน ดื่มน้ำให้หมดแก้ว เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่ก่อให้เกิด food waste หรือช่วยกันลดการใช้พลาสติกแบบ single – use หรือลดการสร้างขยะให้ได้มากที่สุด หรือแม้แต่การประหยัดน้ำประหยัดไฟที่เรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งเราสามารถเลือกวิธีการได้ตามความสมัครใจของตัวเอง เพราะไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม หากทุกๆ คนช่วยกัน ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอนค่ะ |
---|
DIY INSPIRE NOW คือแรงบันดาลใจของฉันใช่ไหม ? เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันทุกคน และทุกๆ คนก็สามารถมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาโลกของเราให้ดีขึ้นได้ ไม่ว่าใครก็สามารถต่อลมหายใจเพื่อโลกของเราได้ทั้งนั้น ใครมีวิธีรักษ์โลกยังไงบ้าง มาคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ ♡
แนะนำ 10 วิธีบอกรักทางอ้อม แสดงความรักยังไงแม้ไม่เอ่ยคำว่ารัก มี วิธีบอกรักแฟน ยังไงบ้างให้เค้ารู้ว่าเรารักเค้าแค่ไหนใครบอกรักไม่เก่ง มาอ่านกัน
ชวนเช็ก Love Language คือ ภาษารัก 5 รูปแบบ คุณเป็นแบบไหน แล้วคนรักของคุณเป็นแบบไหน อยากเข้าใจความรัก และคนรักของเรามากขึ้นต้องทำยังไง ดูวิธีกัน
ชวนรู้จักตัวเองให้มากขึ้นผ่าน แบบทดสอบค้นหาตัวเอง พร้อมคำแนะนำในการรู้จักตัวเองผ่านวิธีอื่นๆ และวิธีคิดเพื่อให้คุณได้สนุกกับการทำความรู้จักตัวเองมากขึ้น