เคยไหมเวลาสอน พรีเซนต์ หรือเล่าเรื่อง แต่ผู้ฟังกลับไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่อินเท่าที่ควร ? จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะเนื้อหายาก แต่เพราะ “สไตล์การเรียนรู้” ของแต่ละคนต่างกันต่างหาก และ 4 MAT ก็คือกรอบที่จะช่วยอธิบายรูปแบบการเรียนรู้ทั้ง 4 แบบ เพื่อให้เราสื่อสารได้ตรงใจมากขึ้น โมเดลนี้จะเหมาะสำหรับครู วิทยากร คนทำงาน ไปจนถึงนักการตลาดและคนทำคอนเทนต์ยังไงบ้าง ในบทความนี้ DIYINSPIRENOW จะพาไปทำความเข้าใจกันค่ะ
รู้จัก 4 MAT คือ 4 สไตล์การเรียนรู้ ที่ใช้ได้ทั้งการสอน และการทำงานกัน !
หลายครั้งที่เราจะอธิบายเรื่องเดียวกัน แต่กลับต้องปรับวิธีเล่าให้ต่างกันตามคนฟัง เพราะแต่ละคนมีมุมมองและวิธีทำความเข้าใจไม่เหมือนกัน นี่เองคือที่มาของ 4 MAT คือโมเดลที่ช่วยแบ่งรูปแบบการเรียนรู้ออกเป็น 4 สไตล์หลัก ซึ่งถ้าเราเข้าใจ ก็จะทำให้การสื่อสารไม่ว่าจะใช้ในการสอน การทำงาน หรือการพรีเซนต์ มีพลังและเข้าถึงผู้ฟังได้มากขึ้นได้ มาเข้าใจเรื่องนี้ให้มากขึ้นกัน
ปรับนิสัยชีวิตยุ่งๆ ให้เป็นระเบียบในพริบตา !
4 MAT คือ อะไร ?
Image Credit : 4mat4learning.com.au
4 MAT Model คือ โมเดลการเรียนรู้ที่พัฒนาโดย Bernice McCarthy เพื่ออธิบายว่าแต่ละคนมีวิธีเรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ ไม่เหมือนกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ Why – What – How – What if ซึ่งหัวใจสำคัญของโมเดลนี้คือ การช่วยให้ผู้สื่อสาร (ครู วิทยากร หัวหน้างาน หรือนักการตลาด) สามารถออกแบบการนำเสนอหรือการสอนที่ครอบคลุมทุกสไตล์ ทำให้ผู้ฟังทุกกลุ่ม “เชื่อมโยง” กับสิ่งที่เราพูดได้ง่ายขึ้น ทั้งเข้าใจเหตุผล เห็นข้อมูลจริง ทดลองทำ และมองหาวิธีประยุกต์ใช้ต่อยอดได้นั่นเอง
・ตารางสรุป 4 สไตล์การเรียนรู้ (Why / What / How / What if)
คำถามหลัก (4 MAT) ชื่อผู้เรียน (Learner Type) ลักษณะเด่น สิ่งที่ชอบ/สิ่งที่เหมาะ Why – ทำไมต้องรู้?Imaginative Learner (ผู้เรียนที่มีจินตนาการ) อินกับความหมาย ชอบเชื่อมโยงกับประสบการณ์ เรื่องเล่า เคสจริง คำถามที่ชวนคิด What – มันคืออะไร?Analytic Learner (ผู้เรียนเชิงวิเคราะห์) ชอบข้อมูล โครงสร้าง ความถูกต้อง ข้อเท็จจริง นิยาม สถิติ หลักการ How – ทำยังไง?Common Sense Learner (ผู้เรียนเชิงปฏิบัติ) เน้นลงมือทำ ชอบขั้นตอนที่จับต้องได้ Step-by-step Workshop แบบฝึก What if – แล้วถ้าลองแบบอื่น?Dynamic Learner (ผู้เรียนเชิงพลิกแพลง) ชอบทดลอง คิดต่อยอด หาทางใหม่ ๆ Brainstorm, Case study, ทดลองประยุกต์
・ขยายความจากตาราง 4 ประเภทการเรียนรู้ใน 4 MAT มีอะไรบ้าง ?
1. Why – Imaginative Learner (ผู้เรียนที่มีจินตนาการ)
ผู้เรียนกลุ่มนี้ชอบตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเรียนรู้เรื่องนี้?” พวกเขาต้องการ “เหตุผล” และ “ความหมาย” ก่อนที่จะลงลึกในเนื้อหา หากยังไม่เข้าใจว่ามันสำคัญอย่างไร ก็อาจไม่สนใจต่อ ผู้เรียนแบบนี้มักจะอินกับ เรื่องเล่า เคสจริง หรือปัญหาที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน เช่น ถ้าจะสอนเรื่องสุขภาพ ควรเริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า “ทำไมบางคนอายุเท่ากัน แต่ร่างกายแข็งแรงไม่เท่ากัน?”
2. What – Analytic Learner (ผู้เรียนเชิงวิเคราะห์)
ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการความรู้ที่ชัดเจนและเป็นระบบ ชอบข้อมูล ข้อเท็จจริง และหลักการที่จะช่วยให้เข้าใจอย่างมีโครงสร้าง พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจเมื่อได้รับ นิยาม สถิติ และทฤษฎีที่อธิบายสิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุผล ตัวอย่างเช่น ถ้าอธิบายเรื่องสุขภาพ ควรตามด้วยนิยาม “สุขภาพที่ดีคืออะไร ?” และเสริมด้วยข้อมูลจากงานวิจัยหรือตัวเลขทางวิทยาศาสตร์
3. How – Common Sense Learner (ผู้เรียนเชิงปฏิบัติ)
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะถามทันทีว่า “แล้วทำยังไง?” พวกเขาต้องการ วิธีปฏิบัติจริงที่ทำตามได้ และจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้ลงมือทำตามขั้นตอน คำอธิบายที่เป็นทฤษฎีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ สิ่งที่เหมาะคือ คู่มือ Step-by-step, Workshop, หรือแบบฝึก เช่น ถ้าเรื่องสุขภาพ ให้ยกตัวอย่างเมนูอาหารพร้อมสอนวิธีทำทีละขั้นตอน
4. What if – Dynamic Learner (ผู้เรียนเชิงพลิกแพลง)
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะไม่หยุดแค่การทำตามขั้นตอน แต่จะถามต่อว่า “แล้วถ้าลองทำแบบอื่นล่ะ?” พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์สูง ชอบทดลองและต่อยอดในแบบของตัวเอง สิ่งที่เหมาะคือ กิจกรรม Brainstorm, การตั้งคำถามปลายเปิด หรือการให้ผู้เรียนทดลองปรับใช้ในสถานการณ์ใหม่ ตัวอย่างก็คือ หลังสอนเรื่องโภชนาการแล้ว อาจชวนผู้เรียนลองคิดเมนูสุขภาพที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด เป็นต้นค่ะ
・Checklist 4 MAT : เช็กให้ครบก่อนสื่อสาร
Why : มีการเล่าเหตุผล/ปัญหาที่ชวนให้ผู้ฟังอินหรือยัง?
What : มีข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือหลักการชัดเจนพอไหม?
How : มีขั้นตอน วิธีทำ หรือกิจกรรมให้ผู้ฟังได้ลองทำจริงหรือไม่?
What if : มีการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังคิดต่อยอด หรือถาม “แล้วถ้า…?” บ้างไหม?
ตารางเช็กสไตล์การเรียนรู้ (4 MAT)
Image Credit : canva.com-pro
จริงๆ แล้ว 4 MAT ไม่ได้มี “แบบทดสอบมาตรฐานตายตัว” เหมือนกับ MBTI หรือ DISC แต่มีแนวทางง่ายๆ ที่เราสามารถเช็กตัวเองได้จาก พฤติกรรมเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ลองมาเช็กตัวเองกันนะคะ
ถ้าคุณมักจะ… คุณอาจเป็น ลักษณะผู้เรียน ชอบถามก่อนว่า “ทำไม ต้องรู้เรื่องนี้?” Why – Imaginative Learnerอินกับความหมาย ต้องการแรงบันดาลใจ เรื่องเล่า หรือเคสจริงก่อน อยากรู้ว่า “มันคืออะไร กันแน่?” What – Analytic Learnerชอบข้อมูลที่ชัดเจน นิยาม สถิติ หลักการแบบมีโครงสร้าง รีบถามทันทีว่า “แล้วทำยังไง ?” How – Common Sense Learnerชอบวิธีปฏิบัติจริง คู่มือ Step-by-step หรือการลงมือทำ ตั้งคำถามต่อว่า “แล้วถ้าลองแบบอื่นล่ะ ?” What if – Dynamic Learnerชอบทดลอง คิดต่อยอด สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง
・ยังงงๆ อยู่ ? ลองทำ Quiz แล้วเช็กกันว่าคุณเป็นแบบไหน ?
อยากประยุกต์ใช้ 4 MAT ในชีวิตจริง ต้องทำยังไงบ้าง ?
Image Credit : canva.com-pro
แม้ว่า 4 MAT จะถูกพัฒนามาเพื่อการเรียนการสอน แต่ความจริงแล้วเราสามารถนำโมเดลนี้ไปใช้ได้เกือบทุกสถานการณ์ที่ต้อง “สื่อสารกับคน” ค่ะ ลองมาดูวิธีกันนะคะ
1. สำหรับครู อาจารย์ และวิทยากร
ออกแบบการสอนให้ตอบโจทย์ทั้ง 4 แบบ เช่น เปิดคาบด้วยคำถามชวนคิด (Why) ต่อด้วย อธิบายทฤษฎี (What) จากนั้นก็มีกิจกรรมให้ลงมือทำ (How) และปิดท้ายด้วยการให้ต่อยอด/ประยุกต์ (What if) แบบนี้จะทำให้ผู้เรียนทุกกลุ่มรู้สึกมีส่วนร่วม ไม่หลุดโฟกัสกลางทาง
2. สำหรับหัวหน้าทีม และการทำงานในองค์กร
ลองปรับใช้ในเวลา Present งานหรือ Brief งาน โดยเริ่มจาก “ทำไมโปรเจกต์นี้สำคัญ” (Why) ก่อน แล้วค่อยแจกแจงข้อมูล/Timeline (What) ตามด้วยการบอกขั้นตอน (How) และชวนทีมลองเสนอวิธีใหม่ (What if) ถ้าลองแบบนี้จะช่วยลดปัญหา “ฟังแล้วไม่เข้าใจ” เพราะทุกคนได้ฟังในมุมที่ตรงกับสไตล์ตัวเอง
3. สำหรับนักการตลาด และคนทำคอนเทนต์
เขียนบทความหรือทำคอนเทนต์ที่ครอบคลุมทั้ง 4 สไตล์ เช่น
Why เปิดด้วยปัญหาที่ตรงใจลูกค้า
What ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง
How เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทำตามได้จริง
What if ปิดด้วยการชวนคิดต่อ หรือ Call-to-Action
การประยุกต์ 4 MAT กับการทำคอนเทนต์แบบนี้จะทำให้คอนเทนต์น่าสนใจทั้งกับคนที่ชอบ “แรงบันดาลใจ” และคนที่ “อยากได้วิธีทำจริง”
4. สำหรับชีวิตประจำวัน
เวลาสื่อสารกับครอบครัว เพื่อน หรือคนใกล้ตัว ลองเล่าเรื่องด้วยมุม “ทำไม / คืออะไร / ทำยังไง / แล้วถ้า…” จะช่วยให้คนเข้าใจง่ายขึ้น และไม่หลงประเด็น วิธีนี้ใช้ได้แม้กระทั่งการอธิบายเรื่องยากๆ ให้เด็ก หรือชวนเพื่อนลองทำสิ่งใหม่ๆ ลองใช้ดูนะคะ
จะเห็นว่า 4 MAT ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในห้องเรียน แต่เป็น “เครื่องมือสื่อสาร” ที่ช่วยให้สารที่เราส่งออกไป ถูกเข้าใจและเข้าถึงใจผู้ฟังได้มากขึ้น เห็นด้วยมั้ยคะ ?
ตัวอย่างการใช้ 4 MAT “Case Study 1 : การดูแลสุขภาพด้วยการวิ่ง”
Image Credit : canva.com-pro
สถานการณ์ : คุณต้องอธิบายให้เพื่อนกลุ่มหนึ่งฟัง ว่าทำไมการวิ่งถึงดีต่อสุขภาพ และอยากชวนพวกเขาเริ่มออกกำลังกาย
1. Why – ทำไมต้องวิ่ง ? (Imaginative Learner)
“ทุกวันนี้คนไทยเกือบครึ่งหนึ่งมีปัญหาน้ำหนักเกิน และโรคที่ตามมาคือเบาหวาน ความดัน ซึ่งเกิดจากการไม่ค่อยขยับร่างกาย การวิ่งวันละ 20–30 นาที สามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้จริง ๆ”
2. What – การวิ่งคืออะไร? (Analytic Learner)
“การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ช่วยให้หัวใจ และปอดแข็งแรง เผาผลาญพลังงานเฉลี่ย 300–400 แคลอรีต่อการวิ่ง 30 นาที และงานวิจัยพบว่าสามารถลดความเครียดได้ด้วย”
3. How – แล้วทำยังไง? (Common Sense Learner)
“ถ้าเพิ่งเริ่ม ให้เริ่มจากการเดินเร็ว 5 นาที จากนั้น วิ่งเบา ๆ 1 นาที แล้วตามด้วย เดินอีก 2 นาที ทำสลับกันจนครบ 20 นาที จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเวลาวิ่งทีละสัปดาห์”
4. What if – แล้วถ้าลองวิธีอื่นล่ะ? (Dynamic Learner)
“ถ้าไม่ชอบวิ่งบนถนน ลองวิ่งบนลู่วิ่งในฟิตเนสแทน หรือจะเปลี่ยนเป็นการปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก ก็ได้ ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน แต่เลือกแบบที่เราสนุกและทำได้ต่อเนื่องจะดีที่สุด”
จากตัวอย่างนี้จะเห็นว่า การอธิบายเรื่องเดียวกัน (การวิ่ง) ถ้าเล่าให้ครบทั้ง 4 มุม จะตอบโจทย์ผู้ฟังทุกสไตล์ และเพิ่มโอกาสให้พวกเขา “เข้าใจ–อิน–และเริ่มลงมือทำจริง”
ตัวอย่างการใช้ 4 MAT “Case Study 2 : การนำเสนอโปรเจกต์ใหม่กับทีมงาน”
สถานการณ์: คุณเป็นหัวหน้าทีม ต้อง Present โปรเจกต์การสร้างระบบจัดการลูกค้า (CRM) ให้ทีมเข้าใจและเห็นด้วย
1. Why – ทำไมต้องทำโปรเจกต์นี้ ? (Imaginative Learner)
“ตอนนี้ทีมเราใช้เวลามากกว่า 40% ไปกับการกรอกข้อมูลลูกค้าซ้ำ ๆ ทำให้เสียโอกาสในการดูแลลูกค้าจริง ๆ ถ้าเรามีระบบ CRM จะช่วยลดงานซ้ำซ้อนและทำให้ทีมโฟกัสกับการขายได้มากขึ้น”
2. What – โปรเจกต์นี้คืออะไร ? (Analytic Learner)
“CRM หรือ Customer Relationship Management คือระบบที่เก็บข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระเบียบ ทั้งประวัติการซื้อ การติดต่อ และการติดตาม ทำให้เรามี Data ชัดเจนในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า”
3. How – จะทำยังไง? (Common Sense Learner)
“ขั้นตอนคือ เริ่มจากเลือกซอฟต์แวร์ CRM ที่เหมาะสม จากนั้นย้ายข้อมูลลูกค้าปัจจุบันเข้าไปในระบบ แล้วฝึกทีมให้ใช้งานได้จริง และวัดผลด้วย KPI เช่น เวลาที่ใช้ปิดการขายลดลงกี่เปอร์เซ็นต์”
4. What if – ถ้าลองทางเลือกอื่นล่ะ? (Dynamic Learner)
“ถ้าไม่อยากใช้ระบบ CRM เต็มรูปแบบในทันที เราอาจเริ่มจากการใช้ Google Sheet + Add-on CRM เพื่อทดสอบระบบการทำงานก่อน แล้วค่อยอัปเกรดไปใช้ซอฟต์แวร์เต็มตัวภายหลัง”
ตัวอย่างนี้ทำให้เห็นว่า การ Present โปรเจกต์ ถ้าเล่าให้ครบทั้ง 4 มุม จะตอบโจทย์ทีมงานทุกสไตล์ บางคนต้องการเห็น “ความหมาย” ก่อน บางคนต้องการ “ข้อมูลจริง” บางคนรอฟัง “ขั้นตอนทำงาน” และบางคนอยากรู้ “ทางเลือกใหม่ๆ” นั่นเองค่ะ
อุดหนุน ปฏิทิน Planner ของ DIYINSPIRENOW คลิกซื้อเลย !
Inspire Now ! : 4 MAT ไม่ใช่แค่โมเดลทฤษฎี แต่เป็น “เครื่องมือสื่อสาร” ที่ใช้ได้ทั้งการเรียน การทำงาน และชีวิตประจำวัน เมื่อเราเข้าใจว่าคนฟังมีสไตล์ต่างกัน เราก็สามารถเล่าเรื่องให้ครบทั้ง Why – What – How – What if ได้อย่างสมดุล ลองหยิบไปปรับใช้ดู แล้วคุณจะพบว่าการสื่อสารของคุณ “ตรงใจ” และ “ทรงพลัง” กว่าที่เคย
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? ใครเคยใช้โมเดลนี้บ้าง ? ใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง มาคอมเมนต์แบ่งปันประสบการณ์กับเราบ้างนะคะ ♡