แจก 20 ทักษะ อาชีพที่ต้องการในอนาคต พร้อม 10 ทักษะอมตะที่ AI ก็โค่นไม่ได้ !
อัปเกรดตัวเองก่อนใครด้วย 30 ทักษะสำคัญที่ตลาดต้องการ ใครกำลังมองหา อาชีพที่ต้องการในอนาคต มาฝึกแล้วสร้างโอกาสให้ตัวเองกัน
เคยไหมเวลาสอน พรีเซนต์ หรือเล่าเรื่อง แต่ผู้ฟังกลับไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่อินเท่าที่ควร ? จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะเนื้อหายาก แต่เพราะ “สไตล์การเรียนรู้” ของแต่ละคนต่างกันต่างหาก และ 4 MAT ก็คือกรอบที่จะช่วยอธิบายรูปแบบการเรียนรู้ทั้ง 4 แบบ เพื่อให้เราสื่อสารได้ตรงใจมากขึ้น โมเดลนี้จะเหมาะสำหรับครู วิทยากร คนทำงาน ไปจนถึงนักการตลาดและคนทำคอนเทนต์ยังไงบ้าง ในบทความนี้ DIYINSPIRENOW จะพาไปทำความเข้าใจกันค่ะ
หลายครั้งที่เราจะอธิบายเรื่องเดียวกัน แต่กลับต้องปรับวิธีเล่าให้ต่างกันตามคนฟัง เพราะแต่ละคนมีมุมมองและวิธีทำความเข้าใจไม่เหมือนกัน นี่เองคือที่มาของ 4 MAT คือโมเดลที่ช่วยแบ่งรูปแบบการเรียนรู้ออกเป็น 4 สไตล์หลัก ซึ่งถ้าเราเข้าใจ ก็จะทำให้การสื่อสารไม่ว่าจะใช้ในการสอน การทำงาน หรือการพรีเซนต์ มีพลังและเข้าถึงผู้ฟังได้มากขึ้นได้ มาเข้าใจเรื่องนี้ให้มากขึ้นกัน
4 MAT Model คือ โมเดลการเรียนรู้ที่พัฒนาโดย Bernice McCarthy เพื่ออธิบายว่าแต่ละคนมีวิธีเรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ ไม่เหมือนกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ Why – What – How – What if ซึ่งหัวใจสำคัญของโมเดลนี้คือ การช่วยให้ผู้สื่อสาร (ครู วิทยากร หัวหน้างาน หรือนักการตลาด) สามารถออกแบบการนำเสนอหรือการสอนที่ครอบคลุมทุกสไตล์ ทำให้ผู้ฟังทุกกลุ่ม “เชื่อมโยง” กับสิ่งที่เราพูดได้ง่ายขึ้น ทั้งเข้าใจเหตุผล เห็นข้อมูลจริง ทดลองทำ และมองหาวิธีประยุกต์ใช้ต่อยอดได้นั่นเอง
คำถามหลัก (4 MAT) | ชื่อผู้เรียน (Learner Type) | ลักษณะเด่น | สิ่งที่ชอบ/สิ่งที่เหมาะ |
---|---|---|---|
Why – ทำไมต้องรู้? | Imaginative Learner (ผู้เรียนที่มีจินตนาการ) | อินกับความหมาย ชอบเชื่อมโยงกับประสบการณ์ | เรื่องเล่า เคสจริง คำถามที่ชวนคิด |
What – มันคืออะไร? | Analytic Learner (ผู้เรียนเชิงวิเคราะห์) | ชอบข้อมูล โครงสร้าง ความถูกต้อง | ข้อเท็จจริง นิยาม สถิติ หลักการ |
How – ทำยังไง? | Common Sense Learner (ผู้เรียนเชิงปฏิบัติ) | เน้นลงมือทำ ชอบขั้นตอนที่จับต้องได้ | Step-by-step Workshop แบบฝึก |
What if – แล้วถ้าลองแบบอื่น? | Dynamic Learner (ผู้เรียนเชิงพลิกแพลง) | ชอบทดลอง คิดต่อยอด หาทางใหม่ ๆ | Brainstorm, Case study, ทดลองประยุกต์ |
ผู้เรียนกลุ่มนี้ชอบตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเรียนรู้เรื่องนี้?” พวกเขาต้องการ “เหตุผล” และ “ความหมาย” ก่อนที่จะลงลึกในเนื้อหา หากยังไม่เข้าใจว่ามันสำคัญอย่างไร ก็อาจไม่สนใจต่อ ผู้เรียนแบบนี้มักจะอินกับ เรื่องเล่า เคสจริง หรือปัญหาที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน เช่น ถ้าจะสอนเรื่องสุขภาพ ควรเริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า “ทำไมบางคนอายุเท่ากัน แต่ร่างกายแข็งแรงไม่เท่ากัน?”
ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการความรู้ที่ชัดเจนและเป็นระบบ ชอบข้อมูล ข้อเท็จจริง และหลักการที่จะช่วยให้เข้าใจอย่างมีโครงสร้าง พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจเมื่อได้รับ นิยาม สถิติ และทฤษฎีที่อธิบายสิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุผล ตัวอย่างเช่น ถ้าอธิบายเรื่องสุขภาพ ควรตามด้วยนิยาม “สุขภาพที่ดีคืออะไร ?” และเสริมด้วยข้อมูลจากงานวิจัยหรือตัวเลขทางวิทยาศาสตร์
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะถามทันทีว่า “แล้วทำยังไง?” พวกเขาต้องการ วิธีปฏิบัติจริงที่ทำตามได้ และจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้ลงมือทำตามขั้นตอน คำอธิบายที่เป็นทฤษฎีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ สิ่งที่เหมาะคือ คู่มือ Step-by-step, Workshop, หรือแบบฝึก เช่น ถ้าเรื่องสุขภาพ ให้ยกตัวอย่างเมนูอาหารพร้อมสอนวิธีทำทีละขั้นตอน
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะไม่หยุดแค่การทำตามขั้นตอน แต่จะถามต่อว่า “แล้วถ้าลองทำแบบอื่นล่ะ?” พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์สูง ชอบทดลองและต่อยอดในแบบของตัวเอง สิ่งที่เหมาะคือ กิจกรรม Brainstorm, การตั้งคำถามปลายเปิด หรือการให้ผู้เรียนทดลองปรับใช้ในสถานการณ์ใหม่ ตัวอย่างก็คือ หลังสอนเรื่องโภชนาการแล้ว อาจชวนผู้เรียนลองคิดเมนูสุขภาพที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด เป็นต้นค่ะ
จริงๆ แล้ว 4 MAT ไม่ได้มี “แบบทดสอบมาตรฐานตายตัว” เหมือนกับ MBTI หรือ DISC แต่มีแนวทางง่ายๆ ที่เราสามารถเช็กตัวเองได้จาก พฤติกรรมเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ลองมาเช็กตัวเองกันนะคะ
ถ้าคุณมักจะ… | คุณอาจเป็น | ลักษณะผู้เรียน |
---|---|---|
ชอบถามก่อนว่า “ทำไม ต้องรู้เรื่องนี้?” | Why – Imaginative Learner | อินกับความหมาย ต้องการแรงบันดาลใจ เรื่องเล่า หรือเคสจริงก่อน |
อยากรู้ว่า “มันคืออะไร กันแน่?” | What – Analytic Learner | ชอบข้อมูลที่ชัดเจน นิยาม สถิติ หลักการแบบมีโครงสร้าง |
รีบถามทันทีว่า “แล้วทำยังไง?” | How – Common Sense Learner | ชอบวิธีปฏิบัติจริง คู่มือ Step-by-step หรือการลงมือทำ |
ตั้งคำถามต่อว่า “แล้วถ้าลองแบบอื่นล่ะ?” | What if – Dynamic Learner | ชอบทดลอง คิดต่อยอด สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง |
Time's up
แม้ว่า 4 MAT จะถูกพัฒนามาเพื่อการเรียนการสอน แต่ความจริงแล้วเราสามารถนำโมเดลนี้ไปใช้ได้เกือบทุกสถานการณ์ที่ต้อง “สื่อสารกับคน” ค่ะ ลองมาดูวิธีกันนะคะ
ออกแบบการสอนให้ตอบโจทย์ทั้ง 4 แบบ เช่น เปิดคาบด้วยคำถามชวนคิด (Why) ต่อด้วย อธิบายทฤษฎี (What) จากนั้นก็มีกิจกรรมให้ลงมือทำ (How) และปิดท้ายด้วยการให้ต่อยอด/ประยุกต์ (What if) แบบนี้จะทำให้ผู้เรียนทุกกลุ่มรู้สึกมีส่วนร่วม ไม่หลุดโฟกัสกลางทาง
ลองปรับใช้ในเวลา Present งานหรือ Brief งาน โดยเริ่มจาก “ทำไมโปรเจกต์นี้สำคัญ” (Why) ก่อน แล้วค่อยแจกแจงข้อมูล/Timeline (What) ตามด้วยการบอกขั้นตอน (How) และชวนทีมลองเสนอวิธีใหม่ (What if) ถ้าลองแบบนี้จะช่วยลดปัญหา “ฟังแล้วไม่เข้าใจ” เพราะทุกคนได้ฟังในมุมที่ตรงกับสไตล์ตัวเอง
เขียนบทความหรือทำคอนเทนต์ที่ครอบคลุมทั้ง 4 สไตล์ เช่น
การประยุกต์ 4 MAT กับการทำคอนเทนต์แบบนี้จะทำให้คอนเทนต์น่าสนใจทั้งกับคนที่ชอบ “แรงบันดาลใจ” และคนที่ “อยากได้วิธีทำจริง”
เวลาสื่อสารกับครอบครัว เพื่อน หรือคนใกล้ตัว ลองเล่าเรื่องด้วยมุม “ทำไม / คืออะไร / ทำยังไง / แล้วถ้า…” จะช่วยให้คนเข้าใจง่ายขึ้น และไม่หลงประเด็น วิธีนี้ใช้ได้แม้กระทั่งการอธิบายเรื่องยากๆ ให้เด็ก หรือชวนเพื่อนลองทำสิ่งใหม่ๆ ลองใช้ดูนะคะ
จะเห็นว่า 4 MAT ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในห้องเรียน แต่เป็น “เครื่องมือสื่อสาร” ที่ช่วยให้สารที่เราส่งออกไป ถูกเข้าใจและเข้าถึงใจผู้ฟังได้มากขึ้น เห็นด้วยมั้ยคะ ?
สถานการณ์ : คุณต้องอธิบายให้เพื่อนกลุ่มหนึ่งฟัง ว่าทำไมการวิ่งถึงดีต่อสุขภาพ และอยากชวนพวกเขาเริ่มออกกำลังกาย
“ทุกวันนี้คนไทยเกือบครึ่งหนึ่งมีปัญหาน้ำหนักเกิน และโรคที่ตามมาคือเบาหวาน ความดัน ซึ่งเกิดจากการไม่ค่อยขยับร่างกาย การวิ่งวันละ 20–30 นาที สามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้จริง ๆ”
“การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ช่วยให้หัวใจ และปอดแข็งแรง เผาผลาญพลังงานเฉลี่ย 300–400 แคลอรีต่อการวิ่ง 30 นาที และงานวิจัยพบว่าสามารถลดความเครียดได้ด้วย”
“ถ้าเพิ่งเริ่ม ให้เริ่มจากการเดินเร็ว 5 นาที จากนั้น วิ่งเบา ๆ 1 นาที แล้วตามด้วย เดินอีก 2 นาที ทำสลับกันจนครบ 20 นาที จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเวลาวิ่งทีละสัปดาห์”
“ถ้าไม่ชอบวิ่งบนถนน ลองวิ่งบนลู่วิ่งในฟิตเนสแทน หรือจะเปลี่ยนเป็นการปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก ก็ได้ ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน แต่เลือกแบบที่เราสนุกและทำได้ต่อเนื่องจะดีที่สุด”
จากตัวอย่างนี้จะเห็นว่า การอธิบายเรื่องเดียวกัน (การวิ่ง) ถ้าเล่าให้ครบทั้ง 4 มุม จะตอบโจทย์ผู้ฟังทุกสไตล์ และเพิ่มโอกาสให้พวกเขา “เข้าใจ–อิน–และเริ่มลงมือทำจริง”
สถานการณ์: คุณเป็นหัวหน้าทีม ต้อง Present โปรเจกต์การสร้างระบบจัดการลูกค้า (CRM) ให้ทีมเข้าใจและเห็นด้วย
“ตอนนี้ทีมเราใช้เวลามากกว่า 40% ไปกับการกรอกข้อมูลลูกค้าซ้ำ ๆ ทำให้เสียโอกาสในการดูแลลูกค้าจริง ๆ ถ้าเรามีระบบ CRM จะช่วยลดงานซ้ำซ้อนและทำให้ทีมโฟกัสกับการขายได้มากขึ้น”
“CRM หรือ Customer Relationship Management คือระบบที่เก็บข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระเบียบ ทั้งประวัติการซื้อ การติดต่อ และการติดตาม ทำให้เรามี Data ชัดเจนในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า”
“ขั้นตอนคือ เริ่มจากเลือกซอฟต์แวร์ CRM ที่เหมาะสม จากนั้นย้ายข้อมูลลูกค้าปัจจุบันเข้าไปในระบบ แล้วฝึกทีมให้ใช้งานได้จริง และวัดผลด้วย KPI เช่น เวลาที่ใช้ปิดการขายลดลงกี่เปอร์เซ็นต์”
“ถ้าไม่อยากใช้ระบบ CRM เต็มรูปแบบในทันที เราอาจเริ่มจากการใช้ Google Sheet + Add-on CRM เพื่อทดสอบระบบการทำงานก่อน แล้วค่อยอัปเกรดไปใช้ซอฟต์แวร์เต็มตัวภายหลัง”
ตัวอย่างนี้ทำให้เห็นว่า การ Present โปรเจกต์ ถ้าเล่าให้ครบทั้ง 4 มุม จะตอบโจทย์ทีมงานทุกสไตล์ บางคนต้องการเห็น “ความหมาย” ก่อน บางคนต้องการ “ข้อมูลจริง” บางคนรอฟัง “ขั้นตอนทำงาน” และบางคนอยากรู้ “ทางเลือกใหม่ๆ” นั่นเองค่ะ
อุดหนุน ปฏิทิน Planner ของ DIYINSPIRENOW คลิกซื้อเลย !Inspire Now ! : 4 MAT ไม่ใช่แค่โมเดลทฤษฎี แต่เป็น “เครื่องมือสื่อสาร” ที่ใช้ได้ทั้งการเรียน การทำงาน และชีวิตประจำวัน เมื่อเราเข้าใจว่าคนฟังมีสไตล์ต่างกัน เราก็สามารถเล่าเรื่องให้ครบทั้ง Why – What – How – What if ได้อย่างสมดุล ลองหยิบไปปรับใช้ดู แล้วคุณจะพบว่าการสื่อสารของคุณ “ตรงใจ” และ “ทรงพลัง” กว่าที่เคย |
---|
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? ใครเคยใช้โมเดลนี้บ้าง ? ใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง มาคอมเมนต์แบ่งปันประสบการณ์กับเราบ้างนะคะ ♡
อัปเกรดตัวเองก่อนใครด้วย 30 ทักษะสำคัญที่ตลาดต้องการ ใครกำลังมองหา อาชีพที่ต้องการในอนาคต มาฝึกแล้วสร้างโอกาสให้ตัวเองกัน
พ่อแม่มีหลายสไตล์ แต่สไตล์ไหนกันนะที่เราใช้เลี้ยงลูกอยู่? มารู้จัก 4 Parenting Styles พร้อมวิธีปรับให้เข้ากับลูก เพื่อให้บ้านเต็มไปด้วยความเข้าใจและความสุขกัน
เก่งแค่ไหนก็พลาดได้ ถ้ารีบเชื่อก่อนคิด Critical thinking คือทักษะเล็กๆ ที่เปลี่ยนคนธรรมดาให้ทำงานได้น่าเชื่อถือและเฉียบขึ้นอย่างเห็นผล เริ่มง่ายๆ จากการตั้งคำถามที่ใช่