Guest : คุณตอง วิริยาณ์ พรสุริยะ นักการทูตชำนาญการ กระทรวงการต่างประเทศ
ย้อนกลับไปช่วงโควิดระบาดแล้วต้องล็อกดาวน์อยู่บ้าน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Clubhouse บูมมากๆ เราได้เริ่มฟังรายการพระไตรปิฎกยามเช้าของพระอาจารย์สัจจาธิโก และได้รู้จักคุณตอง (แค่เสียง) จากรายการนั้นค่ะ คุณตองเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินรายการที่จะช่วยเป็นตัวแทนนำคำถามจากคนฟังไปสื่อสารถามพระอาจารย์ และมักจะเป็นผู้สรุปสิ่งที่หลวงพี่ได้เมตตาสอนในแต่ละวันเสมอ เราฟังรายการนี้บ่อยๆ จนวันหนึ่งได้ยินว่า คุณตองเป็นนักการทูต และวันนั้นเองเราก็มีความขึ้นมาว่า อยากคุย อยากสัมภาษณ์คุณตองจังเลย จากวันนั้นเนิ่นนานจนถึงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเรียนคอร์ส The Secret of Self Love ซึ่งเป็นคอร์สใหม่ของพระอาจารย์สัจจาธิโกที่จะโฟกัสไปที่ความเข้าใจในวิธีการที่จะรักตัวเอง และในคลาสเรียนวันนั้นเอง เราก็ได้เจอกับคุณตองโดยบังเอิญ และใช่แล้วค่ะ ความบังเอิญที่เราเชื่อว่าถูกกำหนดมาแล้วในวันนั้น ทำให้เกิดเป็นบทสัมภาษณ์ในวันนี้นั่นเอง (ใครอยากทำความรู้จักพระอาจารย์สัจจาธิโก อยากหาวิธีการฝึกใจที่เข้าใจง่าย ปรับใช้ได้จริง ลองอ่านเพิ่มเติมได้อีกนะคะ พระอาจารย์เคยเมตตาให้สัมภาษณ์กับ DIYINSPIRENOW แล้ว อยากให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ )
ชวนฝึก การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ให้มั่นใจ ผ่านประสบการณ์จริงจากนักการทูตไทยกัน !
คุณตองในภาพแรกที่เราเห็นเป็นคน active ร่าเริง พูดเก่ง สนุกสนาน แต่พอได้รู้ว่ามี MBTI เป็น INFJ ก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากคุยกับคุณตองมากขึ้นไปอีก นักการทูตที่เป็น Introvert เค้ามีวิธีการฝึก มีวิธีการคิดยังไงเวลาที่จะต้องไปสื่อสารเจรจาเพื่อทำภารกิจใหญ่ของประเทศ ตามมาถอดบทเรียน มาเข้าใจวิธีคิดผ่านประสบการณ์ของคุณตองไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ
1. ช่วยแนะนำตัวเองให้ผู้อ่านรู้จักคุณตองในปัจจุบันหน่อยค่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง ?
“ตอง วิริยาณ์ พรสุริยะ นะคะ ปัจจุบันอาชีพประจำคือเป็นนักการทูต ทำงานอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย” ซึ่งนอกเหนือจากงานประจำแล้ว คุณตองยังมีงานอดิเรกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดรายการพระไตรปิฎกยามเช้ากับพระอาจารย์สัจจาธิโก, งานศิลปะ, นักแปล และอีกมากมาย “ตองชอบงานศิลปะ ไม่เคยเรียนหรอก เป็นเด็กสายวิทย์ ช่วงตั้งแต่กลับมาจากโพสต์ที่แล้ว กลับมาที่เมืองไทย ก็ได้มีโอกาสเป็น Auctioneer หรือว่าผู้ดำเนินการประมูลงานศิลปะ ทำงานกับ Bangkok Art Auction แล้วก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนก็คือ ตองแปลนิยายไทย นิยาย Y ให้เป็นภาษาอังกฤษ แม้จะไม่ใช่ผู้อ่านนิยาย Y แต่ก็อยากจะสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ บางเรื่องก็ถูกได้นำไปทำเป็นซีรีส์ เช่น การุณยฆาต และตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ตองก็เขียนบทละครเวที เป็นผู้กำกับละครเวที แต่ปัจจุบันเวลาชีวิตมันน้อยลงก็เลยเขียนเป็นกลอนสั้นๆ ลง social media”
2. นักการทูตในความหมายของคุณตองคืออะไรคะ ?
“คือคนที่สร้าง รักษาแล้วก็พัฒนาผลประโยชน์ของชาติ สร้าง หมายความว่าถ้ายังไม่มีผลประโยชน์ของชาติตรงไหนก็ไปสร้างให้มันเกิดขึ้นมา รักษา คือ ตรงไหนถ้าเกิดมันมีอยู่แล้วก็รักษาให้มันคงอยู่ต่อไป พัฒนา ก็คือ ถ้าตรงไหนมันง่อนแง่นก็ไปทําให้มันแข็งแรง ให้มั่นคงมากขึ้น”
ซึ่งเรื่องผลประโยชน์ของชาตินั้น คุณตองเล่าว่าจะครอบคลุมทุกอย่าง เช่น ผลประโยชน์ของชาติทางเศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรม ด้านชื่อเสียง ด้านการเจรจา ไปสร้างบทบาทของประเทศไทยให้นานาประเทศประจักษ์ หรือแม้กระทั่งด้านการดูแลคนไทยในต่างประเทศ นอกจากนั้นนักการทูตยังทำหน้าที่เป็น Door knocker หรือผู้เคาะประตู เป็นสะพานเชื่อมโยงให้หน่วยงานไทยทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ถึงบางเรื่องจะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ เช่น เรื่องการค้าที่จริงๆ ตัวหลักก็คือกระทรวงพาณิชย์ หรือว่าเรื่องการท่องเที่ยวที่ทาง ททท. หรือ การเที่ยวแห่งประเทศไทย ดูแลอยู่นั้น แต่ว่ากระทรวงการต่างประเทศเป็น Door knocker เป็นสะพานเชื่อม เป็นคนไปเปิดประตูให้หน่วยงานไทยทํางานทุกอย่างได้สะดวกยิ่งขึ้น หรือถ้าเกิดเรามีข้อพิพาท กระทรวงการต่างประเทศก็มีหน้าที่ต้องไปเจรจา เพื่อให้สถานการณ์ความขัดแย้งมันไม่ปะทุไปสู่ความขัดแย้ง เป็นต้น หรือว่า ประสบการณ์โดยตรงของตองเอง ก็คือตอนที่ไปออกประจําการที่อาร์เจนตินาซึ่งเป็นโพสต์แรกของตองซึ่งงานที่ท้าทาย สุดๆ เลยก็คือการอพยพคนไทยในช่วงที่มีการระบาดของโควิด หรือว่า คนไทยไปเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ต่างประเทศแล้วไกลมาก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องไปช่วยอย่างนี้เป็นต้นค่ะ โดยรวมก็คือ นักการทูตเป็นคนที่ดูแลรักษา แล้วก็พัฒนาปรับปรุงผลประโยชน์ของชาติในต่างแดน”
3. ย้อนกลับไปในวัยเด็ก คุณตองเป็นเด็กแบบไหนคะ?
คุณตองเล่าว่า เธอเป็นลูกคนเดียวที่เป็นที่รักของครอบครัว เป็นเด็กที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ และได้พบกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตในตอนอายุ 9 ขวบ ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ได้หล่อหลอมตัวเธอให้เป็น “คุณตอง” ในทุกวันนี้
“คุณพ่อคุณแม่ก็จะทะเลาะกันบ่อยแล้วสุดท้ายท่านก็หย่ากันนะคะ จนเกิดจุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตตอน 9 ขวบ ก็คือได้ไปออสเตรเลีย หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ของชีวิตเลย เพราะว่า การไปออสเตรเลียเนี่ย พูดภาษาก็ยังไม่ได้ แล้วไปในช่วงที่คุณพ่อคุณแม่พึ่งเลิกกัน โอ้โห…เคว้งคว้าง ซึ่งที่บอกว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตก็เพราะว่ามันทําให้เราได้ภาษา ทําให้เราต่อสู้ดิ้นรนกับความกลัว ความอะไรต่างๆ ของชีวิตที่ต้องไปเจอตอนนั้น จนมัน shape เรา ให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ค่ะ”
4. แล้วช่วงวัยรุ่นล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง ?
“วัยรุ่นเนี่ยเริ่มชัดแล้วค่ะ พอกลับมาจากออสเตรเลีย ตองกลับมาเรียน คือกําลังจะขึ้นป. 6 อายุ 12, 13 หลังจากนั้นก็อยู่โรงเรียนประจํา เรียนเซนต์โยบางนามาตลอด ก็เป็นหญิงล้วน พูดได้ว่าตั้งแต่วัยรุ่นเป็นต้นมาจนจบ ม.6 มีแม่ชีคาทอลิกเลี้ยง จะได้กลับบ้านไปอยู่กับคุณพ่อหรือคุณแม่แล้วแต่ ก็แค่ช่วงเสาร์อาทิตย์เท่านั้นเอง ก็จะเป็นคนมีเพื่อนเยอะ เป็นเด็กเนิร์ด อ่านหนังสือ เพราะมันไม่มีอะไรทํา ดังนั้นนี่ก็เป็นอีกสิ่งนึงที่ shape ตองให้เป็นตองในทุกวันนี้ คือตองรักการอ่าน ทุกสกิลทุกอย่างที่ตองใช้ในปัจจุบันนี้ พูดได้ว่าถ้ามองย้อนกลับไปจะเจอว่ามันมาจาก การรักการอ่านทั้งสิ้นเลยค่ะ เรื่องการใช้ภาษา เรื่องการคิดวิเคราะห์ การเรียบเรียงความคิดอะไรก็มาจากการอ่าน”
เธอเล่าต่อว่า หนังสือแทบจะทุกเล่มในห้องสมุดก็อ่านมาทั้งหมดแล้ว และนอกจากคลังหนังสือที่เธออ่านในห้องสมุดแล้ว ก็ยังมีคุณพ่อของเธอที่จะซื้อหนังสือให้สัปดาห์ละเล่มอีก เรียกได้ว่าช่วงชีวิตวัยรุ่นของคุณตอง มีหนังสือเป็นเพื่อนคู่หูคลายเหงาเลยก็ว่าได้
“คุณพ่อจะมารับตองทุกสัปดาห์เพื่อพาไปทานข้าวนะคะ คุณพ่อรับราชการทหาร เป็นทหารเรือ ท่านก็ไม่ได้ร่ํารวยอะไร แต่ว่าท่านก็สนับสนุนมากเรื่องการอ่าน ซึ่งเราก็จะมีดีลสัญญาใจกันว่าทุกสัปดาห์ว่าพ่อจะซื้อหนังสือให้อ่านแค่สัปดาห์ละเล่ม เลือกดีๆ นะ ซึ่งเล่มเดียวเนี่ย หลังๆ พอเราอ่านคล่อง แป๊บเดียวก็จบ เราก็เลยต้องไปแลกหนังสือกับเพื่อน หรือไปยืมหนังสือห้องสมุด ขนาดหนังสือห้องสมุดแบบเทวกําเนิดของศาสนาพราหมณ์ที่แป็นเทพฮินดูแต่ละองค์เกิดมีตํานานเป็นยังไง เรายังนั่งอ่านเลยค่ะ ช่วงชีวิตวัยรุ่นเป็นอย่างงี้”
ซึ่งนอกจากเรื่องหนังสือแล้ว คุณตองยังมีทักษะภาษาอังกฤษที่โดดเด่นกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน จึงได้โอกาสไปแข่งวิชาการที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษบ่อยๆ ทั้งการพูด speech โต้วาทีเป็นภาษาอังกฤษ เธอบอกว่านี่คือช่วงเวลาที่ได้สะสมประสบการณ์และความมั่นใจในการพูด และเราคิดว่านี่คือการสะสมทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเลยล่ะค่ะ
แล้วตอนนั้นมีตอนฝันเพิ่มขึ้นมั้ยคะ ที่จุดประกายเราให้มาทำอาชีพนี้ ?
“คือความฝันนี้ก็ยังค่อนข้างไม่ชัดเจนนะ แต่ว่ารู้แหละ เราเคยเห็นงานการทูตตอนที่เราไปออสเตรเลีย เพราะว่าก็จะได้รับเชิญให้ไปงานบ้านท่านทูต แล้วก็เห็นพี่ๆ นักการทูตเท่ๆ ในนั้น ตอนเด็กๆ เราก็คิดว่า นี่ก็เป็นอาชีพที่เท่เหมือนกันนะ แต่ว่าอย่างที่บอกเป็นคนมี hobby หลายอย่างทําให้มันไม่ชัด เช่น เราอยากเรียนอักษรด้วยซ้ํา เพราะเรารักการอ่าน หรือเรารักงานศิลปะ เราก็เคยอยากเรียนสถาปนิกมาก แต่ว่าสุดท้ายที่มันชัดตอนที่ก่อนจบ ม. 6 เราไปสอบทุนรัฐบาล ก.พ. แล้วได้ทุนรัฐบาลในความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้นก็ชัดจนไม่รู้จะชัดยังไงแล้วค่ะ เพราะว่าเป็นสัญญาที่ถ้าเราลงนามแล้ว เราต้องไปเรียนที่อังกฤษ เรียนให้จบกลับมาแล้วก็ทํางานเป็นนักการทูตเลย”
5. ถ้าให้เลือกพูดถึงความท้าทายของนักการทูตในมุมมองของคุณตอง สิ่งแรกที่นึกถึงคืออะไรคะ?
“การออกจาก comfort zone”
เธออธิบายว่า ความท้าทายในงานการทูตมีหลายแบบ ถามสักกี่คนก็คงตอบไม่เหมือนกัน แต่คำตอบของคุณตองก็คือ การพร้อมที่จะออกจาก comfort zone ตลอดเวลานั่นเอง
“สําหรับตอง สิ่งที่ท้าทายคือ ทุก 4 ปี ตองต้องเดินจากคนที่เรารักไปอยู่วัฒนธรรมใหม่ สังคมใหม่ ภาษาใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ที่ทํางานใหม่ทุกอย่างใหม่หมดเลยนะคะ แล้วก็เนื่องจากว่าตองยังไม่มีครอบครัว ดังนั้นการไปของตองแต่ละครั้งคือต้องไปคนเดียวแล้วก็ทิ้งทุกอย่างที่ลงตัวสุดๆ ณ ตอนนั้นเอาไว้ อย่างเช่น ตอนนี้ต้องกําลังจะไปปารีส ก็ต้องทิ้งเพื่อนทุกหมู่ ทุกกลุ่ม ทิ้งงานที่รู้สึกว่าลงตัว เข้าใจงานนี้ดีแล้ว บ้านที่อยู่สบายที่สุดตอนนี้ คุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ที่เมืองไทย อาหารการกินที่สั่งง่ายๆ ทิ้งทุกอย่างไปเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่ แล้วพอตองอยู่ 4 ปีที่ไหนก็ตามลงตัวแล้ว สบายละ ก็ต้องทิ้งทุกอย่างกลับมาอยู่ที่เมืองไทย”
คุณตองเล่าต่อว่า อีกหนึ่งอย่างที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเธอด้วยก็คือ การที่เป็น Introvert แต่โชคดีที่เป็นอาชีพที่ทำแล้วชอบ จึงทำได้แบบไม่ต้องฝืน
“จริงๆ ตองเป็นอินโทรเวิร์ตด้วยนะคะ ตองเป็น INFJ ถ้าเลือกได้อยากอยู่บ้าน นอนอ่านหนังสือคนเดียว หรือนั่งสมาธิอยู่คนเดียว หรือทําอาหารอยู่คนเดียว เป็นช่วงที่ enjoy มากนะ แต่ว่าด้วยอาชีพก็คือต้องฮึบออกมา คือทุกคนก็จะไม่รู้ เพราะว่าตองดูเหมือน outgoing มาก เหมือนแบบช่างพูดช่างเจรจา แต่ว่าจริงๆ แล้วเป็น I (Introvert) ค่ะ อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของเราเหมือนกัน แต่ตองไม่ได้ฝืนนะ แล้วก็ไม่ได้แสดงละคร ไม่ได้แอคติ้งด้วยนะ ก็จริงใจแหละ เป็นฉันที่จริงใจนี่แหละ แต่ว่าใช้พลังต้องใช้พลังฮึบขึ้นมาเยอะเหมือนกันค่ะ
เป็นอินโทรเวิร์ต แล้วทำไมถึงเลือกอาชีพนักการทูต ?
คุณตองตอบเราว่า ตอนเรียนจบ ม.6 ช่วงนั้นปี 2550 ยังไม่มีการพูดถึงเรื่อง MBTI ประกอบกับอยากเรียนต่างประเทศ จึงสอบชิงทุน และเซ็นสัญญาในอายุ 17 ปี ซึ่งยังไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรชัดเจน “เราเลือกทุนรัฐบาล เพราะว่าตอนนั้นถ้าเราอยากไปเรียนต่างประเทศ ด้วยความที่คุณพ่อเป็นข้าราชการก็ไม่ได้ร่ํา ไม่ได้รวยอะไร ถ้าเราอยากไปเราก็ต้องเอาทุนอะไรสักอย่าง แล้วสมัยนั้นทุนรัฐบาลเป็นทุนที่ถูกมองว่าดีจังเลย เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล เอาไปเถอะดี และมันไม่มีช่องทางแห่งการปฏิเสธ แล้วเราก็ไม่ได้รู้อะไรเพียงพอที่จะรู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบ แต่โชคดีที่พอไปเรียนแล้วเราชอบรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สนุกมากสําหรับเรา”
ชอบอะไร ? ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“ประเด็นแรกเลยนะ คือเราชอบอ่าน พอเราชอบอ่านปุ๊บ เราก็เลยชอบอ่านข่าวไปด้วย ชอบอ่านทุกอย่างเลย แม้กระทั่งพวกฉลากแชมพู สบู่ เราก็ชอบอ่าน ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่เราอ่านได้ทุกวัน มีใหม่ๆ ให้เราอ่านทุกวันก็คือ ข่าว หนึ่งในนั้นก็คือข่าวการต่างประเทศ ข่าวระหว่างประเทศ ทําให้เรารู้ว่า โห..ดราม่าจังเลย แล้วเราก็มีนิสัยแบบชอบรู้เรื่องชาวบ้าน แบบคุณป้าข้างบ้านท่านหนึ่ง ดังนั้นเราก็อยากรู้ว่าทําไมประเทศนั้นเค้าทําอย่างงี้ ทําไมประเทศนี้เค้าทําอย่างนั้น เค้าทะเลาะกันทําไม เพราะอะไรมันมีเหตุมาจากอะไร เราก็เลยชอบอ่านประวัติศาสตร์ไปด้วย ทําให้เราเห็นว่าแบบ อุ๊ย มัน connect the dot นะ ทุกอย่างมันมี โยงใยเส้นสายแห่งผลประโยชน์แห่ง character ความเป็นผู้นําของแต่ละที่ที่มันแตกต่างกัน ทุกคนพยายามรักษาผลประโยชน์ของตัวเองอย่างที่สุด แต่ว่าใช้วิธียุทธ วิธีการแตกต่างกัน มันน่าสนใจจังเลย”
พอเราได้รู้แล้ว เราเอามาปรับอะไรกับชีวิตเราได้มั้ยคะ ?
“อย่างแรกเลยนะ งานการทูต ตองชอบโพสของ Lord Palmerston เค้าเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และเคยพูดเกี่ยวกับการทูตเอาไว้ว่า อังกฤษเนี่ยไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ที่จีรังยั่งยืนเท่านั้น แล้วก็ผลประโยชน์นั่นแหละเป็นตัว shape ให้เราทําในสิ่งต่างๆ ตามหน้าที่ของเรา ซึ่งตองเห็นด้วยตามนั้น แล้วสิ่งนี้มันใช้กับชีวิตประจําวันของเรา ชีวิตส่วนตัวในด้านอื่นได้ด้วย ไม่ใช่พูดให้เห็นประโยชน์ในเชิงเห็นแก่ตัวนะคะ แต่หมายถึงว่าเราต้องรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีสําหรับเรา ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนดีสําหรับเรา ก็จงไปทําซะ อะไรที่มันไม่ดีกับเรา แม้วันนึงมันจะเคยดี มาก่อนก็ควรจะกล้าหาญ พอที่จะรักษาระยะห่างหรือถอยออกมา อย่ายึดติด ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สิ่งใดเคยไม่ดี วันนึงอาจจะดี สิ่งใดเคยดี อาจจะไม่ดีก็ได้ ตองว่าอันนี้ใช้ได้เลย เพราะว่างานการทูตเป็นอย่างนี้แหละ มันเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ประเทศนึงเคยทะเลาะกัน วันนึงดีกันต้องช่วยกัน”
6. มีภารกิจไหนที่รู้สึกว่ายากหรือท้าทายมากเป็นพิเศษมั้ยคะ? แล้วคุณตองผ่านมันมาได้ยังไง ?
“อพยพเด็กยากที่สุด”
คุณตองเกริ่นให้เราฟังเกี่ยวกับงานของกระทรวงต่างประเทศ และเราหาข้อมูลมาเพิ่มนิดหน่อย จะสรุปเป็นการปูพื้นเพื่อความเข้าใจเบื้องต้นให้ประมาณนี้นะคะ งานของกระทรวงต่างประเทศจะแบ่งหลักๆ อยู่ที่ 4 กรอบดำเนินงาน หรือเรียกกันว่า 4 เสา ซึ่งได้แก่
เสาทวิภาคี คือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศใดประเทศหนึ่ง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ ความเข้าใจ และผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคง เช่น ไทยกับสหรัฐฯ ไทยกับออสเตรเลีย ไทยกับนิวซีแลนด์ ไทยกับจีน เป็นต้น
เสาพหุภาคี เป็นบทบาทการมีส่วนร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศหรือเวทีพหุภาคี เช่น UN, ASEAN, WTO ฯลฯ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของไทยในระดับโลก ส่งเสริมความร่วมมือข้ามชาติ และมีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ
เสาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ คือการใช้การทูตเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) การดึงดูดการลงทุน ส่งเสริมการส่งออก การท่องเที่ยว หรือการใช้ soft power เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยในเวทีโลก
เสาการทูตสาธารณะ (Public Diplomacy) การสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยต่อประชาชนต่างประเทศ เช่น การส่งเสริมวัฒนธรรมไทย การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ ความร่วมมือด้านการศึกษา หรือการประชาสัมพันธ์นโยบายผ่านสื่อ
ซึ่งนอกเหนือจาก 4 เสาแล้ว ก็จะมีอีกเสานึงที่เรียกว่าเป็นเสาสนับสนุน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า งานกงสุล มีบทบาทด้านการดูแลคนไทยในต่างประเทศ เช่น ออกหนังสือเดินทาง, ช่วยเหลือคนไทยตกทุกข์ได้ยาก, เยี่ยมผู้ต้องขังไทยในต่างประเทศ, การส่งตัวกลับประเทศ รวมถึงการให้บริการด้านเอกสารคนต่างชาติ เช่น วีซ่า รับรองเอกสาร ฯลฯ เรียกว่าเป็นงาน “แนวหน้า” ที่ประชาชนเข้าถึงมากที่สุดของกระทรวงเลยก็ว่าได้
“งานกงสุลก็คือการดูแลคนไทยในต่างแดน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น และเนี่ยคือตําแหน่งของตองตอนที่ตองอยู่อาร์เจนตินาซึ่งที่อาร์เจนตินาเนี่ย นักการทูตเค้าก็มีหลายตําแหน่ง เช่น เป็นฝ่ายการเมืองเศรษฐกิจ ฝ่ายพิธีการพูดสายสารนิเทศ เป็นต้น แล้วก็มีฝ่ายกงสุล คือคนดูแลคนไทย เช่น คนไทยที่อยู่ต่างแดน บัตรประชาชนหมดอายุต้องมาทําใหม่ ต้องมาทํากับเราหรือคนไทยมีลูก คลอดลูกจะต้องมาจดทะเบียนเกิดกับเรา แต่งงานก็มาจดทะเบียนสมรสกับเรา ตายก็ต้องมาแจ้งเรา แล้วออกใบมรณบัตรให้ หรือว่าแม้กระทั่งในบางเคสต้องไปพิสูจน์ดูอัตลักษณ์ว่าเนี่ยใช่จริงไหม คนไทยที่ญาติตามหาอยู่ ที่เสียชีวิตอะไรแบบนี้เป็นต้น หรือง่ายๆ เลยค่ะ คนไทยพาสปอร์ตหาย โดนล้วงกระเป๋าต่างประเทศกลับเมืองไทยไม่ได้ก็มาทำพาสปอร์ตฉุกเฉินกับเรา นี่คือหน้าที่ของคนที่เป็นตําแหน่งกงสุล”
เธอเล่าถึงภารกิจที่ท้าทายเรื่องการอพยพเด็กต่อว่า “ช่วงสักประมาณปีที่ 3 ของการอยู่อาร์เจนตินา เกิดโควิดระบาด อาร์เจนตินา มีลักษณะพิเศษที่คนอาจจะนึกไม่ถึงก็คือ โครงการแลกเปลี่ยน AFS ในปีนั้นเป็นปีที่มีเด็ก AFS อยู่ที่อาร์เจนตินาเยอะมากถึง 60 คน ไปเรียนภาษาสเปน แล้ว AFS เค้าก็มีนโยบายซึ่งเข้าใจได้นะ ก็คือเค้าจะไม่ได้ให้มีใครอยู่เมืองหลวง เค้าจะกระจายไปตามจังหวัดต่างๆ เพราะว่าถ้าอยู่เมืองหลวงเดี๋ยวก็ใช้ภาษาอังกฤษ เดี๋ยวก็มาติดแสงสีอะไรอย่างนี้ ให้อยู่ตามต่างจังหวัดเพื่อให้ฝึกภาษา แล้วประเทศนี้ใหญ่กว่าไทย 5 เท่า และมีเด็กอยู่ทุกที่เลยไกลมาก แล้วโควิดระบาด อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่ปิดน่านฟ้านานที่สุดในโลก 9 เดือน ภาวะเศรษฐกิจเค้าก็ไม่ค่อยดี ทําให้ครอบครัวที่เป็นโฮสต์ดูแลเด็กไทยอยู่บางครอบครัวไม่มีความพร้อมที่จะดูแลเด็กไทยต่อไป เช่น เค้าก็มีจํากัดปริมาณอาหารเพราะเศรษฐกิจเค้าแย่ ไปทํางานไม่ได้ เด็กไทยก็เครียด ครอบครัวก็เครียด อยู่กันก็ยากลําบากแล้ว กลัวเรื่องสุขภาพด้วย ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเด็กไทยเราจะได้รับการรักษาทันท่วงทีมั้ย จะเป็นยังไง แล้วเค้าอยู่นี่ก็ไม่ได้เรียน โรงเรียนก็ปิดคือมันอยู่ต่อไม่ได้แล้วล่ะ ต้องช่วยเค้ากลับแล้วล่ะ แต่จะกลับยังไง ในเมื่อมันติดน่านฟ้าไม่มีเครื่องบินบินเลย ทํายังไง”
คุณตองเล่าต่อว่า อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าไทย 5 เท่า เขตแดน แต่ละจังหวัดอะก็ปิดด้วยระหว่างกัน ต้องทำการขออนุญาตผ่านทางทุกจังหวัด นอกจากนั้น ทวีปละตินอเมริกาที่อาร์เจนตินาอยู่ก็ไกลจากประเทศไทยมาก ปกติจะเดินทางมาที่นี่ต้องต่อเครื่องหลายต่อหลายเที่ยว ใช้เวลาบินอย่างน้อย 2 วัน ความยากก็คือ สถานทูตไทยในอาร์เจนตินาเป็นสถานทูตขนาดเล็ก มีท่านทูต 1 คน และเจ้าหน้าที่การทูต 2 คน นอกนั้นก็เป็นเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ไม่ใช่คนไทย
“ยากมาก เพราะว่าต้องเจอกับความเครียดของผู้ปกครอง ที่เค้าก็ห่วงลูกหลานของเค้า ที่เมืองไทยเค้าถึงกับไปยื่นหนังสือกับนายกรัฐมนตรีในตอนนั้นเพื่อขอให้ประเทศไทยช่วยเด็กๆ กลับมา ซึ่งเราก็รีบอยากจะทําถึงที่สุด ถึงขนาดที่ว่าท่านทูต ณ ตอนนั้นต้องหาเส้นสาย เพื่อที่จะไปโทรศัพท์ถึงประธานาธิบดีอาร์เจนตินาให้ได้ว่าขอให้ช่วยเด็กไทยเราหน่อย ขอบิน ซึ่งเราก็ไปเจรจากันได้เป็นเครื่องบินคาร์โก้ แล้วก็ทุกคนช่วยกันมาก ใช้สายการบิน KLM บินมาลงที่ยุโรปก่อน จากยุโรปค่อยกลับมาที่ประเทศไทย แต่ว่ากว่าจะเอาเด็กๆ ทุกคนมารวมกันที่เมืองหลวงได้เนี่ย ก็เป็นมหากาพย์อีกเหมือนกัน คือยากมาก ใช้เวลา 3 วัน นานที่สุดคือมีเด็กที่ต้องนั่งบนรถรถบัสถึง 3 วันกว่าจะมาถึง แล้วห้ามหยุด และก็มีอยู่เมืองนึงอยู่ริมข้างล่างสุดอีกนิดนึงจะถึงขั้วโลกใต้อยู่แล้ว เป็นเมืองที่คนเข้าไปเล่นสกีกัน นักกีฬาสกี นักกีฬาโอลิมปิกสกี เค้าจะไปเล่นกันที่เมืองนั้น แล้วมันเป็นเมืองที่ไกลมาก พอเกิดโควิดปุ๊บ มีเด็กไทยอยู่ที่นั่นด้วย 3 คน แล้วไม่มีเครื่องบิน ไม่มีรถขับด้วย แต่ว่าเยอรมัน เค้ามีนักกีฬาโอลิมปิกของเค้าไปซ้อมสกีอยู่หลายคนค่ะ อันนี้ก็ใช้ทักษะการทูตเหมือนกัน เพราะเราเคย make friends กับเค้ามาก่อน เรารู้จักกันกับนักการทูตเยอรมัน ก็เลยขอร้องให้เด็ก 3 คน นั่งรถบัสมาด้วยกันได้มั้ย เค้าว่า เอาเลย มาเลย ไทยแลนด์มาเลย เค้าไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ําค่ะ ไม่คิดค่าใช้จ่ายไม่คิดอะไรทั้งสิ้น เอาเด็กเราขึ้นมาบนรถแล้วก็ดูแล อันนี้ก็เป็นหนึ่งในงานการทูต ซึ่งพอสําเร็จได้แล้วนะ โอ้โห…ดีใจมาก”
7. เวลาต้องไปประจำอยู่ต่างประเทศ มีวิธีปรับตัวยังไงให้เข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่างยังไงบ้าง ?
“คือต้องเปิดใจให้กว้างๆ นะคะ ยอมรับว่ามันแตกต่างกัน คือเอาจริงๆ แค่ไม่ต้องพูดถึงต่างประเทศนะ เมืองไทยแต่ละจังหวัดก็ต่างกัน แต่ว่าตองมีความเชื่อเสมอว่า พื้นฐานจิตใจมนุษย์น่ะเหมือนกัน ทุกคนมีรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน ต่างกันแค่วัฒนธรรม ซึ่งมันเป็นเปลือกนอก เราเรียนรู้ได้ค่ะ”
วิธีคิดที่ว่า “พื้นฐานของจิตใจมนุษย์นั้นเหมือนกัน” คุณตองได้มาจากอะไร ?
“เอาจริงๆ นะ ได้มาจากธรรมะ คือไม่ได้อยากให้บทสนทนานี้ไปในเชิงธรรมะเลยนะแต่มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ”
เริ่มศึกษาธรรมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
คุณตองเล่าว่า จุดเริ่มต้นของการหันมาศึกษาธรรมะเกิดขึ้นที่อาร์เจนตินา ตอนที่อพยพเด็กๆ คนขับรถของสถานทูตที่คุณตองสนิทมากๆ เหมือนกับเป็นพี่ชายเกิดเส้นเลือดในสมองแตกและเสียชีวิต คุณตองผู้เคยแอนตี้ศาสนา ไม่นับถือศาสนาใดๆ เห็นคุณแม่ของพี่เค้าร้องไห้ เพราะไม่สามารถจัดพิธีทางศาสนาใดๆ ได้เลย จึงรู้สึกสะเทือนใจ และให้สัญญากับคุณแม่พี่เค้าว่าจะสวดมนต์ นั่งสมาธิ รักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัดเป็นเวลาหนึ่งเดือน และโอนเงินทำบุญกลับไปที่ไทย ซึ่งจะอุทิศให้พี่คนนี้ทั้งหมด ให้คุณแม่สบายใจได้ว่าพี่เค้าจะต้องได้บุญแน่นอน และหลังจากที่คุณตองกลับไปถึงบ้านก็พบกับเหตุการณ์นี้
“ตองเจอผีพี่คนนี้ คือว่าตองกลับไปบ้านหลังจากงานศพเขาใช่ไหมคะ แล้วตองนั่งเล่นมือถือ แล้วพี่คนเนี้ยค่ะ เค้าก็มาเป็นเสียงแบบล้อเราเล่นน่ะ ก็คือมาเรียกชื่อตองใกล้ๆ หู แต่เรายังคิดว่าไม่จริง เพราะว่าเราเครียด เราเสียใจ พยายามคิดเป็นวิทยาศาสตร์ บอกแล้วเราไม่เชื่อศาสนา แล้วพี่เค้าก็หัวเราะ เอิ๊กอ๊าก แล้วก็เค้าเป็นคนที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์หนัก เค้าเลยเป็นโรคความดันหรืออะไรประมาณนี้ แล้วในห้องวันนั้นเหม็นบุหรี่ไปหมดเลยนะคะ แต่เราก็ยังคิดว่า ห้องข้างบนมั้ง เพราะที่พักเป็นอพาร์ทเม้นท์ ยังคิดอยู่ว่าไม่จริง ผ่านไป 2 อาทิตย์ เพื่อนเราคนนึงก็เป็นห่วงเรา ก็คุย zoom กัน แล้วเราก็เล่าให้เขาฟังเรื่องประสบการณ์ที่เจอช่วงนี้งานเรา โอ้โห ยากเหลือเกิน พี่คนนั้นเค้าก็ตายแล้ว เพื่อนเราก็เงียบไม่พูด แล้วเราเป็นเพื่อนรักกัน รู้ว่ายังไงก็ไม่โกหกกัน”
จากนั้นเพื่อนคุณตองก็เล่าให้ฟังว่า “ตลอดเวลาที่คุยกัน มีเสียงผู้ชายคนนึง หัวเราะ เอิ๊กอ๊าก อยู่ตลอดเวลา ทําให้ตองรู้สึกว่า มีพยานอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้กลัวพี่เขา เพราะตอนที่พี่เขาเป็นมนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีแต่ความปรารถนาดีให้กัน เราก็โอเค อย่ามาทําให้ตกใจนะ เดี๋ยวจะทําตามสัญญาไม่ต้องกลัวอะไรอย่างนี้ค่ะ”
คุณตองเล่าต่อว่า พอครบหนึ่งเดือนก็ไปบอกน้องสาวพี่เค้าซึ่งทำงานอยู่สถานทูตไทยเหมือนกันว่า “ฝากบอกคุณแม่ให้หน่อยว่าตองทำตามสัญญาแล้วนะ” และตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่เจอให้กับเธอฟัง
“ตองเล่าให้น้องเค้าฟังว่า พี่เค้ามาเล่นแบบนี้นะ แล้วก็เรียกชื่อตอง แล้วน้องเค้าก็น้ําตาไหลบอกว่าคุณตอง พี่เค้าคงรักคุณตองมากนะ เพราะเค้ามาเล่นอย่างนี้กับคนในบ้านทุกคนเลย เราก็อ้าว…มีพยานก๊อกที่ 3 แบบที่มีประสบการณ์เหมือนกัน”
ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้คุณตองได้เรียนรู้ว่าตายแล้วไม่ได้จบแค่นั้น ซึ่งทำให้เธอเริ่มหันมาศึกษาเรื่องของธรรมะมากขึ้น
“มันทําให้เราตระหนัก 2 อย่าง อย่างแรก คือเมื่อก่อนที่เราคิดว่าไม่มีศาสนา เราเชื่อว่าตายแล้วจบไม่มีอะไรต่อ The End คืนสู่ธรรมชาติ จบตรงนี้ ไม่มีไปต่อชาตินี้ ชาติหน้าทั้งสิ้น ไม่เชื่อ ใครพูดก็จะด่าด้วย แต่ว่า พอเกิดเหตุการณ์นี้ ทําให้รู้ว่าเมื่อก่อนเรามั่นใจเกินไป ตายแล้ว ยังไม่จบ พี่คนนี้เค้ามาสอนเราเรื่องนี้ แล้วทุกวันนี้เวลาเล่าเรื่องนี้ ก็อยากให้พี่คนนี้เขาได้บุญ ได้เกิดอนุโมทนาหรืออะไรก็ตามแต่ความเชื่อว่า ขอให้ความดีไปสู่เขา ว่าเขามาสอนเรา ว่ามันยังไม่จบ มันมีต่อ เรื่องที่ 2 คืออะไรก็ไม่รู้อ่ะที่เรียกว่าบุญน่ะ อะไรก็ไม่รู้นะ แต่ตายไปแล้วอยากได้มาก แล้วทําเองไม่ได้แล้ว ต้องมาวนเวียนมารอให้คนอื่นมาทําให้ มันทำให้เราเปิดใจสู่ศาสนา แล้วช่วงนั้นก็มีคลับเฮ้าส์ พอดี เป็นช่วงโควิดระบาด แล้วก็มีรายการพระไตรปิฏกยามเช้าแล้วเราก็เลยตามเข้ามา เพราะว่ารายการเป็นเวลาเช้าของที่เมืองไทย และเป็นเวลาเลิกงานของเราพอดี เราก็เลยตามคนเค้าเข้ามาฟังแล้วก็มาเถียงกับพระอาจารย์สัจจาธิโก เพราะไม่เห็นด้วย อย่างที่บอกเป็นคนแอนตี้ศาสนามาก ช่วงแรกๆ ก็มาเถียง แต่ว่าพบว่ามาเถียงแล้วก็ค้นพบว่า คิดต่างได้ มันมีการแลกเปลี่ยนอย่างศิวิไลซ์อย่างมีวัฒนธรรมได้ และคําตอบจากพระอาจารย์สัจจาธิโก ตองก็ฟังได้คือสมเหตุสมผล ก็เลยทำให้ตองอยู่ในรายการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเลยน่าจะ 4 ปีกว่าๆ นะคะ 1,500 กว่าตอนแล้ว”
8. ทักษะไหนที่คุณตองคิดว่าจำเป็นมากที่สุดในการเป็นนักการทูต? แล้วมีทักษะไหนที่รู้สึกว่าฝึกยากที่สุดบ้างมั้ยคะ?
“ตองคิดว่า เป็นทักษะการสื่อสาร มันละเอียดอ่อน คือเป็นการสื่อสารที่เราต้องได้ผลประโยชน์ ได้คือ รักษา สร้างผลประโยชน์ โดยที่รักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ดังนั้นเราจะเห็นแก่ตัวไปก็ไม่ดี เราจะยอมเขาไปเลยเพื่อรักษาความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ ผลประโยชน์ของประเทศมันค้ําคออยู่ เราก็ต้องทําตามโจทย์ที่เราได้รับ ไม่ว่าเป็นผลประโยชน์ด้านใดก็ตาม ดังนั้นการสื่อสารก็เลยละเอียดอ่อนมาก เราต้องสื่อสารยังไงให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการโดยที่ keep ความสัมพันธ์ฉันท์มิตร ฉันท์เพื่อนเอาไว้”
คุณตองเล่าต่อว่ามีหลายครั้งที่เห็นไม่ตรงกันกับผลประโยชน์ที่เราต้องไปสื่อสาร เราจึงถามต่อว่ามีวิธีการจัดการความคิด ความรู้สึกยังไงบ้าง ?
“มองภาพรวมค่ะ คือเรามองภาพรวมว่า งานการทูตมันไม่ใช่งาน one man show แม้ว่าสุดท้ายอาจจะเป็นท่านทูตท่านหนึ่งคนเดียว ไปยืนบนโพเดียมเพื่อพูดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เบื้องหลังมันมีทีมงานอีกหลายคน เราก็จะเอาอัตตาตัวเองออก คือโปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์งานกลุ่ม ดังนั้นพอมองเป็นภาพรวมว่าเป็นงานกลุ่ม มองว่า เป็นสิ่งที่ทั้งทีมทําร่วมกัน ความเห็นของตัวเองเอง ถ้าเราพูดไปแล้วสุดท้ายแล้วเราก็เคารพภาพรวมนั้นนะคะ”
คุณตองฝึกการสื่อสารยังไงบ้าง ?
“คือการสื่อสารมันเป็นศิลปะอย่างนึง ทุกคนน่ะมีสไตล์เป็นของตัวเอง คนที่เป็น Extrovert เค้าก็จะเจอความยากในแบบที่ไม่เหมือนเรา เช่น นักการทูตที่เป็น Extrovert ต้องระวังคําพูดตัวเอง เผลอสนุกไปหรือเปล่า เผลอหลุดพูดอะไรไปหรือเปล่า ไม่ทันได้คิดรึเปล่า Introvert จะเงียบเกินไปไม่ได้ ต้องออกไปพูด ไปสร้างเครือข่าย ไปหาข่าว ไปอะไร มันก็เลยจะเป็นศิลปะที่แต่ละคนต้องหลอมออกมาให้เป็นสไตล์ในแบบของตัวเอง แต่สิ่งที่ตองคิดว่าเราสามารถฝึกได้อันดับแรกเลยก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การสื่อสารที่ดีที่จะได้ในสิ่งที่เราต้องการและรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้ คือการมี rapport ที่ดี ซึ่งมันต้องใช้ trust จะใช้สไตล์ไหนก็ได้สร้าง trust ให้เกิดขึ้นให้ได้ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นให้ได้ หลังจากนั้นการคุยก็จะง่ายขึ้น ”
9. มีวิธีคิดแบบนักการทูตอะไรบ้าง ที่คนทั่วไปสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้บ้าง ?
“ตองชอบคํานึงมากเลยที่ในกระทรวงเราพูดกันบ่อยมากคือคําว่า play by ear คือถ้าเกิดงานไหนเราเตรียมตัวได้ ซึ่งเรามักจะเตรียมตัวเสมอ 1 2 3 4 plan A plan B เรามักจะเตรียมไว้ ถ้ามันเป็นไปตามนั้นน่ะ สาธุเลย รู้สึกดี แต่ส่วนมากมันจะเกิดเหตุที่เราไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ แล้วกระทรวงการต่างประเทศเรามี เพลงประจํากระทรวงด้วยนะคะ เรามีสัญลักษณ์คือ “บัวแก้ว” แล้วมันจะมีท่อน ของ เพลงบัวแก้วแห่งวังสราญรมย์ มีท่อนที่ว่า “แก้ร้ายให้หย่อน แก้ร้อนให้เย็น ดอกบัวข้างนอกแลเห็นแต่น้ําที่ใส” ความหมายคือถึงน้ําจะขุ่นด้วยเลน ด้วยตม แต่คือข้างนอกก็จะเห็นแต่น้ําที่ใส คือเบื้องหลังใต้พรมทุกสิ่งทุกอย่างเป็นนักการทูตประมาณ 10 กว่าคนวิ่งหัวหมุนกันอยู่เพื่อทําให้สุดท้ายแบบภาพมันออกมาดี แล้วก็ play by ear เนี่ยค่ะคือตองคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ของทางการทูตอย่างนึงคือพร้อมปรับตัว ตลอดเวลา วางใจให้ว่าง ทําตัวเองให้ flexible อย่าเป็นคนแข็งๆ ที่ไม่พร้อมปรับตัว”
10. ถ้าผู้อ่านอยากฝึกการฟังหรือการเจรจาให้ดีขึ้น คุณตองมีเทคนิคหรือวิธีฝึกแบบไหนแนะนำบ้างมั้ยคะ ?
“ตองคิดว่า การสื่อสารที่ดีต้องมี trust ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจ วิธีจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นได้มีหลายวิธี อันดับแรก อาจจะต้อง ice break กันก่อน หาจุด common ground ตรงจุดที่เรากับเค้าเหมือนกัน คนเราชอบคิดว่า เราไม่รู้จักใครสักคนนึง จริงๆ เรารู้จักคนๆ นั้นมากกว่าที่คิด แม้จะเป็นการเจอกันครั้งแรก เช่น เราเจอเค้าในธนาคาร คนนี้เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็หาจุด common ground อย่างน้อยเรากับเค้าก็มาทําธุรกรรมการเงินอะไรบางอย่าง มันมีหลายสิ่งที่เราสามารถบอกได้กับคนๆ นึงหาจุด common ground แล้วอันนี้คือผิวเผินมากนะ ไม่เคยรู้จักมาก่อนเป็น total strangers คนแปลกหน้าที่เจอในธนาคาร แต่ว่าถ้าเกิดเราจะไปทํางาน เช่น เราจะไปทํางานการทูตหรืออะไรก็ตามแต่บนโลกใบนี้แล้วเราจะต้องไปเจอลูกค้าหรือเราต้องไปเจอ counterpart คนที่เราทํางานด้วย เราจะไม่รู้เรื่องของเค้าเลยหรอ เราก็ต้องรู้ ทําการบ้าน หาจุด common ground อันนี้ให้เกิดขึ้น แล้วก็สานต่อจากสิ่งนั้น”
11. ในวันที่โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน นักการทูตต้องปรับตัวยังไงบ้างคะ? แล้วมีเรื่องอะไรใหม่ๆ ที่ต้องเรียนรู้มากขึ้นบ้าง?
“พอโลกหมุนเร็วผลประโยชน์ของเราก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างน้อยมันก็เกิดเวทีใหม่ที่มีผลประโยชน์ของคนไทยไปอยู่ เช่น บนโลกออนไลน์ หรือปัญหาเรื่องเกี่ยวกับมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ที่คนไทยไปตกเป็นเหยื่อแล้วสุดท้ายก็คืองานการทูตก็หนีไม่พ้นที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคปัจจุบันด้วย ตองคิดว่านักการทูตเราก็ต้องเปิดใจรับ AI เปิดใจรับเทคโนโลยี เข้าใจว่าอันนี้มันคือโลกยุคใหม่แล้วงานของเรามันก็จะอยู่บนแพลตฟอร์มเหล่านี้ ตามข่าวอยู่เรื่อยๆ อย่างที่บอกว่า โลกมันหมุนไปทุกวัน ปัญหาของโลกมันก็จะหมุนไปด้วย ตามให้ทันปัญหาเรื่องที่เป็นความท้าทายร่วมกันของมนุษย์บนโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ อะไรแบบนี้”
12. ในวันที่เหนื่อยหรือรู้สึกหมดพลัง คุณตองมีวิธีชาร์จแบตหรือดูแลใจตัวเองยังไงบ้าง?
คุณตองเล่าว่า ช่วงอายุประมาณ 27, 28 เคยป่วยหลายโรค รู้สึกว่า fail กับทุกอย่าง รู้สึกเศร้า ร้องไห้ ไม่เห็นค่าในตัวเอง ไม่มีใจจะทำอะไรเลย และเธอก็ตกตะกอนถึงสิ่งที่จะทำให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงได้ว่า…
“ตองได้มา 2 เรื่อง อันดับแรกเลยก็คือสร้าง routine อะไรก็ได้ที่เราทําเป็นประจํา เราสัญญากับตัวเองว่าเราจะทําทุกวัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ มากๆ ก็ตามนะคะ ไม่ว่าจะเป็นไปรดน้ําต้นไม้ตอนเช้า ฉันจะรดทุกวัน หรืออย่างตองจะจัดรายการพระไตรปิฏก ฉันจะจัดทุกวันอย่างนี้ค่ะ สิ่งเหล่าเนี้ยมันสะสมเกิดเป็นพลัง มันตอกย้ําตัวเองทุกวันๆ ว่าเรามี ability ที่จะทําสิ่งนี้ได้แล้วเราไม่ผิดสัญญากับตัวเอง รักษาสัจจะกับตัวเอง สิ่งนี้ให้พลังได้ อีกวิธีนึงคือการเซอร์วิส หรือการทําตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ช่วงนั้นที่ตองป่วยมาก ไม่เห็นค่าตัวเองเลยนะ นั่งแป๊บเดียวก็ร้องไห้แล้วค่ะ ก็เริ่มไปเป็นอาสาสมัครสอนภาษาอังกฤษแล้วเราเห็นเด็กๆ พูดได้ขึ้นดีขึ้น หรือมีความรู้อะไรมากขึ้นจากเรา เราเห็นคนๆ นึงดีขึ้นจาก ability ของเรา การที่เราไปยกคนอื่นขึ้นน่ะ จิตใจของเรามันได้ยกขึ้นด้วย การที่เราเห็นตัวเองเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เห็นว่าตัวเองมี ability มีความสามารถที่ยังจะช่วยคนอื่นได้แล้วเราจะไร้ค่าได้ยังไง”
คุณตองเล่าต่อว่าทุกวันนี้ก็ยังทำแบบนี้อยู่ ทั้งจัดรายการพระไตรปิฎกยามเช้า ส่วนการสอนภาษาอังกฤษนั้นได้เปลี่ยนบทบาทจากครูอาสาไปเป็นการทำมูลนิธิที่ส่งคนไปเรียนต่อต่างประเทศแทน
“การจัดรายการพระไตรปิฎกยามเช้าที่เป็น a special place in my heart ตอนนี้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มาก คือทุกวันตอนเช้าเราได้ส่งคนไปทํางานได้แบบเอนเนอร์จี้ดีๆ คนที่มีคําถามคาใจอยู่ไม่ว่าเกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือเกี่ยวกับชีวิตหรืออะไรก็ตามที่สงสัยแล้วมาถามหลวงพี่แล้วเราถามแทนให้ หรือเราได้สรุปสิ่งที่หลวงพี่สอนมาเป็นสั้นๆ เป็นไฮไลท์ให้ทุกคนได้ทวนอีกรอบนึงว่าหลวงพี่สอนอะไร ตองว่าเป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ดีมากสําหรับเรา สมมติว่าวันนั้นเป็นวันที่เฮงซวยมากทั้งวัน ไม่มีเรื่องดีเลย ทุกอย่างพังหมดเลย ไม่มีดีเลย แต่อย่างน้อยวันนั้นมีเรื่องดีเกิดขึ้นแล้วเรื่องนึงตอนเช้าคือเราได้เสียสละเวลายามเช้ามาทําสิ่งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทําเพื่อคนอื่นน่ะ เราไม่ได้ค่าตอบแทน เราไม่ได้อะไรจากสิ่งนั้นเลย เป็นสิ่งที่จะคิดถึงมากๆ เพราะถ้าไปปารีสแล้วคงไม่ได้จัดทุกวัน แต่จะพยายามเข้ามาวันเสาร์นะคะ”
สำหรับใครที่สนใจอยากฟังคุณตองจัดรายการ อยากติดตามธรรมะดีๆ จากพระอาจารย์สัจจาธิโก สามารถ ติดตามช่องทางต่างๆ ของพระอาจารย์ได้เลยที่นี่นะคะ
13. ช่วงวัย 30 เป็นช่วงที่หลายคนเริ่มคิดมากขึ้นเรื่องชีวิตและงาน สำหรับคุณตอง มุมมองในช่วงวัยนี้เป็นยังไงคะ ?
คุณตองเล่าว่า ช่วงวัย 30 เป็นช่วงที่เธอคิดว่ามีพลังมากที่สุด ได้ทำอะไรที่อยากทำเยอะแยะมากมาย “ ในช่วงก่อนวัย 30 เราอาจจะมี passion แต่เรายังไม่มีตังค์ ยังไม่มีเงินเก็บ หรือเรายังเป็นแค่เด็กอ่อนในออฟฟิศเรา ยังไม่สามารถที่จะบริหารเวลาอะไรได้ดีเท่าตอนช่วง 30 ที่ตองคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงคนนึงมีพลังมากเลยนะคะ คือเริ่มมีเงินแล้วดูแลตัวเองได้เต็มที่ รู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร เพราะถ้าเป็นก่อนหน้านั้นก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเส้นทางที่ตัวเองเดินอ่ะถูกหรือเปล่า ได้แต่ใช้แต่ความเชื่อว่าต้องมาทางนี้แหละ ทุกคนเห็นว่าดีนี่ สิ่งนี้มันจะไม่ดีได้ยังไง แล้วก็หลับตาเดินตามทางที่ทุกคนบอกว่าดี แต่เดชะบุญว่ามันลงตัวสําหรับเรา เราโชคดี แต่ตอนวัย 30 ไม่ใช่อย่างงั้นแล้ว เราตาสว่างที่สุดกับสิ่งที่เรารู้ หนึ่งเรารู้จักตัวเองมากขึ้น ฉันเป็นคนแบบไหน อย่างน้อยก็มี MBTI ทําแล้วรู้แหละอย่างน้อยก็รู้ว่าเป็น INFJ รู้ว่าตัวเองชอบ ไม่ชอบอะไร รู้ว่าตัวเองมีภาพอนาคตอย่างน้อย 5 ปี ข้างหน้าต้องการอะไร มีเป้าหมายชัดเจน มีเงิน มีเสรีภาพทางด้านการเงินมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นถ้าช่วงนี้จะทําอะไร ต้องตอนนี้แหละสุขภาพก็ยังแข็งแรงอยู่ ต้องตอนนี้แหละเป็นช่วงที่พิเศษมากสําหรับคนๆ นึงในช่วงวัย 30”
แล้วถ้าคนที่เค้ายังไม่รู้ล่ะคะว่า ตัวเค้าต้องการอะไร แม้กระทั่งเข้าสู่วัย 30 แล้ว ?
“ตองคิดว่าลึกๆ ทุกคนมีคําตอบในใจอยู่แล้ว มันมี exercise นึง ที่เคยทํากับคอร์สของพระอาจารย์สัจจาธิโก เรื่อง Looking within yourself ตอนนี้คอร์สนี้ไม่มีแล้ว และคิดว่าเล่าไปก็ไม่สปอยล์ คือ exercise ที่ให้เขียนไทม์ไลน์ ชีวิต วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ อะไรแบบนี้ แล้วให้ไล่สถานการณ์ให้เราเขียนสถานการณ์ที่ significant เป็นสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในความทรงจําที่ตอนนี้ยังชัดอยู่เกี่ยวกับช่วงนั้น ให้เราคิดว่าถ้าเกิดเราย้อนไล่ตามสิ่งที่เราชอบ ไม่ชอบ ประสบการณ์ที่สําคัญที่ทําให้เราดีใจ เสียใจมากๆ ในอดีต ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นคําตอบอยู่ตลอดทางแล้วนะว่าเราชอบอะไร เพียงแต่ว่าเราเคยมาให้เวลาตัวเองย้อนกลับไปอดีต ไล่ตามไปในชีวิตของเราหรือเปล่า ตองไม่เชื่อว่าใช้ชีวิตมา 30 ปีแล้วมันจะสมองโล่ง เพียงแต่ว่าเราอาจจะยังฟุ้ง สมองมันวุ่นวายมากเกินไปด้วยปัจจัยทั้งภายในภายนอก มันกวนให้น้ําขุ่นแล้วเรามองไม่เห็นน่ะค่ะ”
14. อยากให้คุณตองช่วยแนะนำอะไรสักเล็กน้อยสำหรับผู้อ่านที่สนใจสายงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศค่ะ ทั้งในแง่แนวคิดหรือสิ่งที่ควรเตรียมตัว
“คําแนะนําแรกก็คือให้เปิดโลก เปิดใจตัวเองให้กว้าง ติดตามข่าวสารให้เยอะ ถ้าเกิดสนใจด้านนี้แต่ไม่ชอบอ่านข่าว ไม่ชอบติดตามนะ ตองว่ายากละ เพราะว่าจะรู้สึกฝืนมากเลยกับการที่จะต้องคอย up to date กับทุกเรื่อง อย่างน้อยก็ในเรื่องที่ตัวเองมีความรับผิดชอบอยู่ แล้วนักการทูตเรามีพูดเสมอว่าเราต้องเป็นทั้ง specialist และ generalist บางสายเนี่ยเค้าก็จะบอกว่านักการทูตต้องเลือกระหว่างจะเป็น specialist มีความรู้เชิงลึกในเรื่องนั้น เช่น เชี่ยวชาญด้านประเทศไหนก็เจาะลึกไปด้านนั้นหรืออีกคนนึงก็จะบอกว่าชอบให้เป็น generalist คือมีความรู้กว้างขวางได้ทุกเรื่อง ตองคิดว่านักการทูตที่ดีควรจะต้องพร้อมเป็นทั้ง 2 อย่าง อย่างน้อยพูดเรื่องอะไรขึ้นมาต้องพูดต่อได้ไม่ตายไมค์ ต้องเปิดโลกให้กว้าง เปิดความสนใจของตัวเองให้เยอะต่อความแตกต่างด้านวัฒนธรรมและอื่นๆ คําแนะนําที่ 2 คือ เรื่องการสื่อสารที่ตองบอกว่าสําคัญมาก การสื่อสารเนี่ยมันเป็นเรื่องการคิดก่อนพูด พูดออกไปแล้ว ต้องคิดถึงใจเค้าใจเรา ผู้ฟังจะคิดยังไง ข้อ 3 คือ เราจะต้องรักษาผลประโยชน์ของเราไว้ นักการทูตเราจะมีสิ่งนึงที่เรียกว่า talking point หรือประเด็นสนทนา ก่อนที่เราจะไปคุยกับใคร เราร่าง script ไว้นะ แต่ว่าสุดท้ายจะพูดออกมาด้วยวิธีไหนอย่างไรจะเป็นศิลปะของแต่ละบุคคล แต่เราไม่มีทางไปพูดโดยที่สมองโล่ง เราเตรียมมาแล้วเป็นบทสนทนาเลยว่าต้องเขียนอะไร พูดอะไร เราจะไม่พูดโดยที่ไม่ได้เตรียมมาก่อน นี่คือการคิดก่อนพูดในแบบนักการทูต”
15. ถ้าลองย้อนดูชีวิตใน 3 ช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยทำงาน แต่ละช่วงให้บทเรียนอะไรกับคุณตองบ้าง ?
คุณตองบอกกับเราว่าเธอเป็นคนโชคดีที่มีคนรายล้อมที่ดีเสมอมา มีผู้อุปถัมภ์ตลอดทุกช่วงชีวิต และจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้เลยด้วยตัวเองคนเดียว ลองมาดูสรุปแต่ละช่วงวัยของคุณตองกันต่อนะคะ
เริ่มจากวัยเด็ก
“ถ้าเกิดอยากกลับไปบอกตัวเองละกันนะคะ ถ้าเป็นตอนเด็ก ก็คืออย่าเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นทุกข์ของตัวเอง ตอนเด็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่หย่าร้างกันแล้วเราต้องไปอยู่ออสเตรเลีย รู้สึกว่ามันยากเหลือเกิน เราเศร้ามากเลยตอนนั้น ตองเคยเขียนไว้ในไดอารีไว้ แล้วมาพบอีกทีตอนโต เขียนเอาไว้ว่า รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นไส้ติ่ง เป็นอวัยวะที่ไม่ต้องมีก็ได้ แต่อยู่เฉยๆ ก็จะไปตัดทิ้งทําไม เราต้องเป็นเด็กดี จะได้เป็นไส้ติ่งที่เราจะไม่ถูกตัดทิ้ง เราจะตั้งใจดี เราจะเป็นเด็กดี เราเข้าใจทุกคนอะไรแบบนี้ แต่ว่าในใจของเด็กตอนนั้นน่ะทุกข์มากเลย เราไปเอาความทุกข์ของคนอื่น ของคุณพ่อของคุณแม่มาเป็นความทุกข์ของเรา ซึ่งถ้าเกิดกลับไปบอกตัวเองตอนนั้นได้ ก็จะบอกว่า ไม่ต้องแบกจะได้เบาขึ้น แต่ว่าสิ่งที่ทําอยู่ตอนนี้ดีแล้ว ตั้งใจเรียนเป็นเด็กดี อยากเป็นที่รักของทุกคนอะไรแบบนี้ ก็อยากจะไปปลอบเค้าตอนนั้นค่ะ”
ช่วงวัยรุ่น
“ตอนวัยรุ่นดีอยู่แล้ว เราก็มีเพื่อน มีแก๊งที่สนับสนุนเรา ช่วยเชียร์เป็นกองเชียร์ให้เราเสมอ มีคุณครูที่จะเลือกเราไปแข่งเสมอ จัดหารถพาเราไปแข่งตามเวทีวิชาการต่างๆ มาเซอร์แม่ชีที่เลี้ยงอบรมสั่งสอนเรา แม้แต่เรื่องทุนสอบทุนรัฐบาลเนี่ยค่ะก็ไปหาใบสมัครมาบอกว่าให้เราลองสมัครสอบ ตอนไปอยู่อังกฤษก็มีเพื่อนนักเรียนทุนที่อยู่ด้วยกันพากันเรียนจนเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้ เพราะว่าตองอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัย LSE เพื่อเรียนรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นคณะที่การแข่งขันสูงมาก สอบเข้ายากมาก และต้องเอาคะแนนเลขให้ดี แต่ตองไม่ชอบเลขเลย เผอิญว่าตองเช่าบ้านอยู่กับนักเรียนทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ เป็นเพื่อนรักเราปัจจุบันนี้ขอพูดเลยเป็นอาจารย์อยู่ ม.ขอนแก่นตอนนี้นะคะ อาจารย์ก้อย สอนเลขเราจนเราสอบคะแนนเลขได้ดี ได้ A แล้วก็เข้ามหาวิทยาลัยได้ คือเนี่ยเรามีเพื่อนที่แบบดีเสมอมาจนถึงบัดนี้เลยนะคะ”
ปัจจุบัน
“ถ้าให้สรุปก็คือเลยนะ ชีวิตทุกช่วงชีวิตเนี่ย มีเพื่อนที่ดี มีกัลยาณมิตรสนับสนุนเสมอ ตอนเด็กอาจจะเศร้าหน่อยก็ผ่านพ้นมาได้มีทุกคนคอยประคับประคองมา ก็มีกัลยาณมิตรที่เป็นหมู่มิตรเป็นญาติธรรมพาไปทางบุญก็มีค่ะ ไปเติบโตทางโลกก็มีอะไรแบบนี้ค่ะ”
ในวัย 40 เราเห็นตัวเราเป็นยังไงบ้าง ?
“เราในวัย 40 เนี่ย อยากจะทําสิ่งทุกสิ่งที่ทําอยู่ตอนนี้ให้ไปได้ไกลมากขึ้น คือทุกสิ่งที่ตองทําอยู่ตอนนี้ ไม่มีอันไหนที่ไม่รักเลย คัดมาแล้วว่ารักในทุกสิ่งที่กําลังทําอยู่ตอนนี้ทั้งทางโลก ทั้งทางธรรม ก็คาดหวังว่าเราในวัย 40 จะมีพลังมากขึ้นในการที่จะทําสิ่งที่ตัวเองทําอยู่ให้ดียิ่งขึ้นไป”
16. ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ คุณตองมีอะไรอยากจะบอกหรือขอบคุณตัวเองบ้างมั้ยคะ ?
“ขอบคุณตัวเองที่สอนตัวเองได้ในวันที่อาจจะอ่อนแอ และแม้ในวันที่อ่อนแอมากจนไม่สามารถสอนตัวเองได้ก็เชื่อกัลยาณมิตร ขอบคุณตัวเองที่มีกัลยาณมิตรเสมอที่ให้ตัวเองหันหาในวันที่อาจจะอ่อนแอค่ะ”
เป็นยังไงกันบ้างคะ อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว ? ส่วนตัวเรารู้สึกว่าไม่ใช่แค่ได้เทคนิคในเรื่องของการสื่อสารจากคุณตองที่เป็นนักการทูตเท่านั้น แต่เรายังเห็นการใช้ชีวิตของคุณตองผ่านวิธีคิดที่น่าสนใจหลายประเด็นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจดี ความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา และหาทางออกในแง่มุมที่สร้างสรรค์ ความเป็นคนจิตใจดีที่เอื้อเฟื้อต่อคนอื่นอีกด้วย เป็น 1 ชั่วโมงที่สนุกและผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ ขอบคุณคุณตองที่สละเวลามาส่งพลังใจ พลังงานดีๆ ให้กับ DIYINSPIRENOW ด้วยนะคะ
Inspire Now ! : ไม่ว่าคุณจะเป็น Introvert หรือ Extrovert ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่ายังไง มนุษย์ก็ต้องเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารด้วยคำพูด ด้วยท่าทาง ด้วยสัญลักษณ์ หรือผ่านเครื่องมือการสื่อสารประเภทอื่นๆ ดังนั้นการทำความเข้าใจ และฝึกการสื่อสารในวิธีที่เหมาะกับตัวเราจึงเป็นเรื่องที่ควรทำ หากว่าคุณต้องการที่จะสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมหรือเปล่า ? คุณฝึกการสื่อสารยังไงอยู่บ้าง คอมเมนต์มาแลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ ♡