เช็ก ! เทคนิคการเจรจาต่อรอง กับกฎ 7-38-55 ที่ช่วยให้ “พูดแล้วอีกฝ่ายอยากฟัง”
รู้จักกฎ 7-38-55 เทคนิคการเจรจาต่อรองพร้อมตัวอย่างสถานการณ์จริง และเครื่องมือเสริมที่ช่วยให้การต่อรองได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยไม่เสียความสัมพันธ์ที่ใช้ได้จริงกัน
ความเข้าใจและการแสดงออกถึงความรู้สึกต่อผู้อื่นเป็นทักษะสำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่คำว่า “Sympathy” และ “Empathy” ที่มักถูกใช้ในบริบทนี้ มีความหมายและนัยยะที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสองคำนี้อาจดูคล้ายกันในการใช้งานทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกมากขึ้นก็จะพบว่ามีความแตกต่างที่สะท้อนถึงระดับความเข้าใจและการมีส่วนร่วมทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองคำนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในบทความนี้ DIYINSPIRENOW จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจกันค่ะว่า Sympathy คืออะไร แล้วต่างจาก Empathy ตรงไหนบ้าง เพื่อให้เรานำไปปรับใช้จริงได้ดีขึ้นกันค่ะ
ในโลกแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ คำว่า “Sympathy” และ “Empathy” มักถูกใช้สลับกันไปมา แต่ความจริงแล้วทั้งสองคำนี้มีความหมายและการแสดงออกที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ Sympathy มักเกี่ยวข้องกับความรู้สึกเห็นใจและปรารถนาดีต่อผู้อื่น ในขณะที่ Empathy ลึกซึ้งกว่านั้น โดยเป็นความสามารถในการเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นราวกับเป็นความรู้สึกของตนเอง ความแตกต่างนี้ส่งผลต่อวิธีที่เราตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เรามาทำความเข้าใจทั้งสองอย่างให้มากขึ้นกว่าเดิมกันต่อค่ะ
Sympathy คือ ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือสงสารผู้อื่นที่กำลังประสบความทุกข์หรือปัญหา เป็นการรับรู้และตอบสนองต่อความรู้สึกของผู้อื่นในระดับที่ไม่ลึกซึ้งเท่า Empathy ผู้ที่มี Sympathy มักจะรู้สึกเสียใจหรือสงสารต่อสถานการณ์ของผู้อื่น แต่ไม่ได้เข้าไปรู้สึกร่วมอย่างลึกซึ้ง เป็นเพียงการรับรู้จากมุมมองภายนอกและแสดงความเห็นใจ อาจแสดงออกผ่านการพูดปลอบโยน การแสดงความเสียใจ หรือการพยายามช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความทุกข์ของผู้อื่น แม้จะเป็นความรู้สึกที่ดีและมีประโยชน์ในการแสดงการสนับสนุนทางอารมณ์ แต่ Sympathy อาจไม่ช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างแท้จริงเท่ากับ Empathy และในบางครั้ง การแสดงออกแบบนี้ อาจทำให้ผู้รับรู้สึกว่าถูกมองจากมุมมองที่เหนือกว่าหรือห่างไกล ไม่ได้รับการเข้าใจอย่างแท้จริง
Empathy คือ ความสามารถในการเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง โดยเป็นการมองโลกผ่านมุมมองของคนอื่น ราวกับว่าเราสวมรองเท้าของพวกเขา ซึ่งผู้ที่มี Empathy สูง จะสามารถรับรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างแท้จริง โดยไม่เพียงแค่รับรู้ แต่ยังสามารถรู้สึกร่วมไปกับอารมณ์นั้นๆ ได้ด้วย แม้จะรู้สึกร่วม แต่ก็ยังสามารถแยกแยะได้ว่านั่นเป็นความรู้สึกของอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่ของตนเอง การมี Empathy ยังหมายถึงการเข้าใจผู้อื่นโดยปราศจากการตัดสินหรือประเมินค่า และสามารถตอบสนองต่อความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม ทักษะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาชีพที่ต้องดูแลและให้คำปรึกษาแก่ผู้อื่น
อ่านความหมายข้างต้นแล้ว พอจะเข้าใจทั้งสองคำมากขึ้นมั้ยคะ ความแตกต่างที่สำคัญคือ Sympathy เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ของผู้อื่นจากมุมมองของตนเอง ในขณะที่ Empathy พยายามเข้าใจและรู้สึกจากมุมมองของผู้อื่นโดยตรง สรุปได้ว่า Sympathy คือความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เราเข้าใจว่าเขากำลังทุกข์ใจและรู้สึกสงสาร แต่เรามองสถานการณ์จากมุมมองของเราเอง เช่น เมื่อเพื่อนบอกว่าสอบตก เราอาจพูดว่า “เสียใจด้วยนะ ต้องเสียใจมากแน่ๆ”
ส่วน Empathy นั้นลึกซึ้งกว่า เป็นความสามารถในการเข้าใจและรู้สึกร่วมกับอารมณ์ของผู้อื่น เราพยายามเข้าถึงความรู้สึกของเขาอย่างแท้จริง ราวกับว่าเราเป็นคนนั้น เรามองสถานการณ์จากมุมมองของเขา ในกรณีเดียวกัน เราอาจพูดว่า “เข้าใจความรู้สึกเธอนะ ตอนนี้คงกังวลว่าจะกระทบเกรดเฉลี่ยใช่ไหม เล่าให้ฟังหน่อยสิว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
Sympathy หากแปลตรงตัวก็คือ “ความเห็นอกเห็นใจ” หรือ “ความรู้สึกสงสาร” ซึ่งเป็นการมองและตัดสินสิ่งต่างๆ จากมุมมองของตนเอง สมมติว่า มีเพื่อนกำลังจะหย่าหรือแยกทางกัน เราอาจมองว่า น่าสงสารจังที่ต้องจบชีวิตคู่หรือต้องหย่าร้างกัน โดยที่ไม่ได้ทำความเข้าใจหรือมองในมุมมองของเพื่อนว่า การหย่าหรือการเลิกรากันนั้น เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว และทำให้ต่างคนต่างมีความสุขมากกว่าเดิม หรือเมื่อมีคนสูญเสียคนที่รัก เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกเห็นใจคนๆ นั้นและครอบครัวของเขา หรือหากยังนึกภาพไม่ออกขอยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวหลายๆ คน คือ เพื่อนของเราโดนแฟนทำร้ายร่างกายและมาร้องไห้กับเรา ทำให้เราเกิดรู้สึกสงสารเพื่อน เมื่อเพื่อนร้องไห้ก็ร้องไห้กอดคอไปพร้อม ๆ กัน เป็นต้น ซึ่งนี่คือการแสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือการมี Sympathy นั่นเอง
แต่ Empathy แปลว่า “การเอาใจใส่” คือความสามารถในการเข้าใจคนอื่นในมุมมองที่พวกเขาเป็น เข้าใจความคิด ความรู้สึก ซึ่ง Empathy แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
การมี Empathy คือทักษะในการเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของผู้อื่น การเข้าใจในที่นี้คือ การเข้าไปอยู่ในใจของคนๆ นั้นและรับรู้ได้ว่า คนๆ นั้นกำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ทำไมถึงมีความคิด – ความรู้สึกแบบนั้น เป็นการมองสถานการณ์ผ่านสายตาของคนๆ นั้นเพื่อรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของคนๆ นั้นว่าเป็นอย่างไร แทนที่จะรู้สึกแย่ไปกับเขา เราสามารถแบ่งปันความรู้สึกของพวกเขาได้ด้วย ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพเป็นที่ปรึกษา หรือนักให้คำปรึกษาอย่างนักจิตวิทยา จิตแพทย์ หรือนักจิตบำบัด เพราะต้องทำความเข้าใจในมุมมองของผู้มารับคำปรึกษาอย่างแท้จริงและไม่ตัดสิน จึงจะสามารถให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้ ในบุคคลทั่วไป การมี Empathy ก็จะทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่นมากขึ้น และเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือคนรัก ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้นด้วยค่ะ
คนที่มี Empathy จะแสดงความห่วงใยโดยการ รับฟังอย่างตั้งใจ และมีทักษะการฟังในระดับที่ดี ทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ตัดสินเรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านประสบการณ์และมุมมองส่วนตัวของตัวเอง ให้ความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ และเหมาะสมตรงตามความต้องการของบุคคลนั้นจริงๆ ส่วนคนที่มี Sympathy จะมีความเห็นอกเห็นใจ หลายครั้งจะแสดงออกความห่วงใยโดยการจู้จี้จุกจิก ให้คำแนะนำว่าควรทำอย่างไร และคนที่มี Sympathy จะทุกข์ทรมานใจกับเรื่องของคนอื่น ทั้งนี้ มีวิธีง่ายๆ ในการจดจำและป้องกันความสับสนระหว่างทั้งสองคำ ดังนี้ค่ะ
Sympathy คือความเห็นอกเห็นใจ ใช้หัวในการคิด เมื่อเราคิดเรื่องคนอื่นแล้วตัดสินจากความคิด ประสบการณ์ของเรา ทำให้รู้สึกสงสาร และอินไปกับเรื่องของเขา แบกรับความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นของตัวเราเองในบางครั้งผู้ที่มี Sympathy ก็มีอารมณ์ร่วมกับเรื่องทุกข์ใจของผู้อื่นมากเกินไป จนทำให้ตนเองเกิดความรู้สึกเศร้าหมองตามไปด้วย
Empathy ใช้หัวใจในการมอง เมื่อมี Empathy จะเข้าใจผู้อื่นจากจุดที่เขายืนอยู่ รู้ว่าเพราะอะไรคนๆ นั้นถึงคิดแบบนี้ รู้สึกแบบนี้ และต้องการอะไร ไม่อินไปกับเขาจนทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ใจ แต่ยินดีให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ หากคนๆ นั้นต้องการ
หากเราเจอ คุณเอ กำลังนั่งร้องไห้เสียใจอยู่ เนื่องจากเขาพึ่งโดนไล่ออกจากงาน เพราะว่าเขาไปทำงานสายเป็นประจำ และผลการทำงานก็ไม่ผ่านการประเมิน คนที่มี Empathy จะเข้าไปถามคุณเอว่า “ ตอนนี้รู้สึกอย่างไร ” “ รู้สึกอย่างนี้เพราะอะไร ” “คิดว่าจะทำยังไงต่อ” แล้วพยายามทำความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของคนๆ นั้น และไม่เอาสิ่งที่ตัวเองคิดไปตัดสินคนอื่น สามารถมองอารมณ์และความรู้สึกของคนอื่นได้อย่างเป็นกลาง แล้วพยายามช่วยหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
คนที่มี Sympathy เมื่อเห็นคุณเอร้องไห้เสียใจเพราะโดนไล่ออกก็จะเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาและคิดว่าคุณเอต้องกำลังรู้สึกแย่มากๆ อยู่แน่เลย ในบางครั้งอาจจะมีการแสดงออกทางคำพูดเพื่อเป็นการปลอบใจ พยายามโน้มน้าวใจให้เขาเปลี่ยนความคิดผ่านมุมมองของตัวเอง เช่น ไม่ต้องเสียใจหรอก ! เรื่องแค่นี้เดี๋ยวก็หางานใหม่ได้เชื่อฉันนะ หรือพูดเชิงเปรียบเปรยให้เห็นถึงสิ่งที่แย่กว่าผ่านความนึกคิดของตัวเอง เพื่อทำให้คุณเอรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น เช่น พูดปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรนะคุณเอ คิดเสียว่าได้พักผ่อน” แต่ว่าผู้พูดไม่ได้พยายามทำความเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริง ซึ่งการพูดปลอบใจในมุมมองของตนเองนั้น บางครั้งก็อาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าไม่ได้รับความใส่ใจได้เช่นกัน และรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจตัวเอง ดังนั้น เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราต้องสังเกตคนรอบข้างให้ดีๆ ว่า อยากได้คำปลอบโยน อยากได้คำแนะนำ หรือเพียงแค่อยากได้คนรับฟังเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ทั้งนี้ Empathy คือทักษะที่มีประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น โดยการทำความเข้าใจว่าผู้คนคิดและรู้สึกอย่างไร และยังช่วยในการลดความขัดแย้งจากมุมมองที่แตกต่างอีกด้วย คนที่มี Empathy ถือได้ว่า เป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์หรือมี Emotional Intelligence ด้วยค่ะ
ตอนนี้ก็คงจะพอทราบกันแล้วว่า Empathy และ Sympathy คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร การมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นหรือมี Sympathy นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เราสามารถมีอารมณ์ร่วมไปกับผู้อื่นได้ เพียงแต่ว่า หากมี Empathy ด้วย ก็จะทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้น และเข้าใจถึงมุมมองที่แตกต่างจากตนเอง และทำให้เราไม่ตัดสินคนอื่นหรือตัดสินสถานการณ์ต่างๆ จากมุมมองของเราเพียงด้านเดียวอีกด้วย Empathy เป็นทักษะที่เราสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ ดังนี้
Inspire Now ! : ทั้ง Empathy และ Sympathy คือ ทักษะทางสังคมที่มีความสำคัญทั้งคู่ การมีความรู้สึกสงสารหรือเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างการมี Sympathy ทำให้เรามีจิตใจอ่อนโยน ไม่มองข้ามความทุกข์หรือความเศร้าโศกเสียใจของผู้อื่น และมีมนุษยธรรม ในขณะเดียวกัน การมี Empathy ก็จะช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นได้อย่างแท้จริง และยอมรับความเห็นต่าง ยอมรับมุมมองทัศนคติที่แตกต่างจากตนเองได้โดยไม่ตัดสินหรือมีอคติ ทั้งยังทำให้เราสามารถให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่นด้วย เพราะเป็นการให้คำแนะนำโดยมองในมุมมองของคนๆ นั้น และไม่เอาความคิดความรู้สึกส่วนตัวไปตัดสิน พยายามทำความเข้าใจคนอื่นด้วยจิตใจที่เป็นกลางและเปิดกว้าง อันจะทำให้เรามีทักษะในการเข้าสังคมที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างด้วยค่ะ |
---|
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? ใครฝึกเรื่อง Empathy แล้วได้ผลเป็นยังไง ความสัมพันธ์ดีขึ้นแค่ไหน มาคอมเมนต์พูดคุยกันนะคะ ♡
รู้จักกฎ 7-38-55 เทคนิคการเจรจาต่อรองพร้อมตัวอย่างสถานการณ์จริง และเครื่องมือเสริมที่ช่วยให้การต่อรองได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยไม่เสียความสัมพันธ์ที่ใช้ได้จริงกัน
รู้จัก Self-Hatred คืออะไร สาเหตุของความรู้สึกเกลียดตัวเองเกี่ยวข้องกับ self-esteem อย่างไร เริ่มต้นเยียวยาใจอย่างอ่อนโยนได้ยังไงบ้าง พร้อมตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง
บริหารเวลา ยังไงดี ชวนมาดูเทคนิค คำแนะนำ วิธีคิดที่ช่วยส่งเสริม พร้อมเครื่องมือที่นำไปปรับใช้ได้จริงให้มีประสิทธิภาพภาพสูงสุดกัน