ชวนดู วิธีบอกรักทางอ้อม เอาใจคนพูดไม่เก่ง แต่รักมากมาย ! แสดงความรักยังไงให้รู้ว่าเรารักเค้าแค่ไหน !
แนะนำ 10 วิธีบอกรักทางอ้อม แสดงความรักยังไงแม้ไม่เอ่ยคำว่ารัก มี วิธีบอกรักแฟน ยังไงบ้างให้เค้ารู้ว่าเรารักเค้าแค่ไหนใครบอกรักไม่เก่ง มาอ่านกัน
ไม่ว่าคุณจะทำงานอยู่ในวงการไหน เราเชื่อว่าก็ต้องเคยได้ยินเรื่องของ AI กันมาบ้างแล้วใช่มั้ยคะ ? ยิ่งในปี 2023 นี้ด้วยแล้ว ไม่ว่าใครก็พูดถึง AI กันมากขึ้นกว่าเดิม และแน่นอนว่า เมื่อได้รับรู้ถึงความสามารถของ AI ที่พัฒนาขึ้นไปอีกในปีนี้ด้วยแล้ว ก็ย่อมต้องมีหลายคนที่ยิ่งมีความรู้สึกว่า หน้าที่การงานของฉันจะถูกแทนที่ด้วย AI หรือเปล่า ? เมื่อปีที่แล้ว DIYINSPIRENOW ได้พูดคุยกับ อ.ดร.พลอย จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกันไปแล้วในหัวข้อเรื่องของเทคโลโนโลยี AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้จริงมั้ย ซึ่งในบทความสัมภาษณ์นี้ เราเลยอยากชวนทุกคนมาเปิดใจ ทำความเข้าใจกันว่า AI คืออะไร และมีหลักการทํางานอย่างไร ? กันอีกครั้ง ผ่านการพูดคุยกับ AI Chatbot สัญชาติไทย ที่ใช้งานง่าย เข้าถึงทุกกลุ่มคนในทุกสาขาอาชีพกับ Alisa AI Chatbot ใน Application Line ที่กำลังได้รับความนิยมมาก จากสถิติของบริษัทที่บอกว่าเปิดตัวมา 3 เดือน มีผู้ใช้งานถึง 1.7 ล้านคน และพูดคุย รับแรงบันดาลใจกับผู้นำการพัฒนา Alisa AI Chatbot กันค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะ ความสะดวกในการเข้าถึง Alisa AI Chatbot คำตอบที่ได้เป็นภาษาไทยที่เหมือนเราแชทคุยกับเพื่อนเลยใช่มั้ยหล่ะคะ ? พูดคุยกับ Alisa กันไปแล้วที่นี้เราก็เลยอยากพูดคุยกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา Alisa AI Chatbot กันบ้าง อยากรู้ว่าเบื้องหลังความคิดของการเริ่มทำ Alisa AI Chaybot นั้นมีที่มาจากวิธีคิดแบบไหน เรามาพูดคุยกับคุณแณช จรัญพัฒน์ บุญยัง CEO ของบริษัท Glory Forever PCL. กันต่อดีกว่าค่ะ
“สวัสดีครับ ผมจรัญพัฒน์ บุญยัง ชื่อเล่นชื่อ แณช ปัจจุบันเป็น CEO ของบริษัทรุ่งเรืองตลอดไปจำกัด มหาชน หรือว่า Glory ครับ ตัวบริษัทเริ่มต้นมาจากเป็นแพลทฟอร์มอ่านเขียนหนังสือออนไลน์ แล้วก็ขยายมาพัฒนาในด้านของ AI แล้วเราก็มีการไปลงทุนกับ Startup ด้วย เช่น IT Security, Visual Influencer แล้วก็บริษัทเกี่ยวกับ Healthcare Lifestyle ซึ่งผมก็เป็น CEO ตั้งแต่เปิดบริษัท ปี 60 จนถึงปัจจุบันครับ”
คุณแณชเล่าว่า ตอนเด็กๆ ชอบเล่นเกมที่เกี่ยวกับด้านโปรแกรม การทำเว็บไซต์ เป็น moderator ตามเว็บบอร์ดตั้งแต่ประถม เล่นเกม “มีหาเงินจากเกมบ้าง แต่ก็ไม่เยอะ เพราะยังเด็ก ไม่ได้อะไรมากมาย ไม่ได้ทำจริงจังมาก” ครอบครัวคุณแณชทำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ แต่เกิดวิกฤตตอนปี 40 ซึ่งตอนนั้นคุณแณชอายุได้ 4 ขวบ “เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ในตอนนั้น บริษัทก็แย่ไปเลย เป็นหนี้ ไม่แน่ใจหลักร้อยหรือหลักพันล้าน บ้านก็จะถูกยึด แต่สุดท้ายก็พลิกฟื้นขึ้นมาได้ครับ” คุณแณชในวัยประถมชอบเล่นหมากล้อม ชอบพวกคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมหรือโปรแกรม ชอบหนังสือการ์ตูน ชอบเรียนคณิตศาสตร์
“ผมว่าการเล่นเกมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สามารถเรียนรู้อะไรที่มันซับซ้อนได้เร็ว เป็นการจูงใจเด็กที่ทำให้สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ดี ซึ่งมันขึ้นอยู่กับเกมด้วย”
เราให้คุณแณชขยายความเพิ่มเติมเรื่องของการเล่มเกม ว่าเราจะมีวิธีการคิด หรือเรียนรู้เพื่อที่จะได้ประโยชน์จากเกมได้ยังไง คุณแณชตอบว่า “จริงๆ แล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม สมองของเรามันจะเรียนรู้เรื่องต่างๆ เข้าไปเอง แต่ผมมักจะมีเป้าหมาย อยากเล่นให้เก่ง ถ้าตั้งใจทำอะไรก็จะจริงจังสุดๆ พอตอนนี้เราโตแล้ว เรามองย้อนกลับไป เราก็พอที่จะจำแนกได้ว่า มันมีเกมที่ดี และบางเกมที่ถ้าเรามีลูก เราจะไม่ให้เล่น ผมคิดว่าเกมแนวที่ให้คิดเอง มีการคำนวณ ต้องวางกลยุทธ์ วางแผนอะไรพวกนี้ ควรให้เด็กเล่น แต่ถ้าเป็นเกมที่มีความรุนแรงก็ควรจำกัดอายุ เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นละครหรือว่าเกมมันเข้าไปอยู่ในสมองหมด พัฒนาการของเด็ก สมองส่วนตรรกะมันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ดังนั้นมันก็จะรับได้เยอะ การคอนโทรลอารมณ์จะน้อยกว่าผู้ใหญ่ หรือคนที่สมองโตเรียบร้อยแล้ว พอเล่นแล้วจริงจังมันก็ไม่ต่างกับอย่างอื่น เช่น เล่นดนตรีแล้วจริงจังมันก็จะไปถึงจุดหนึ่ง ไม่ว่าจะไปได้ถึงระดับประเทศหรือระดับโลกหรือเปล่า มันก็จะได้สกิลมา การเล่นฟุตบอลอะไรก็เหมือนกัน ทั้ง skill set หรือว่า mindset ที่เอาไปทำอย่างอื่นต่อได้ มันติดตัวเราไปตลอด อยู่ที่ว่าเราจริงจังแค่ไหน”
พอได้ฟังแบบนี้แล้ว เลยถามต่อว่าวิธีการคิดแบบนี้ได้มาจากครอบครัวหรือเปล่า คุณแณชตอบว่าครอบครัวเป็นส่วนสำคัญ และกรรมพันธุ์ก็มีส่วนด้วย เพราะครอบครัวฟื้นมาจากการติดหนี้ ดังนั้นจึงมีความสู้ “เราอยู่กับคนใกล้ตัวแบบไหน ก็จะได้รับทัศนคติแบบนั้นโดยอัตโนมัติแม้ว่าเค้าจะบอกตรงๆ หรือไม่ก็ตาม ซึ่งตอนที่เราเป็นเด็กเราก็น่าจะเรียนรู้มาโดยอัตโนมัติ”
คุณแณชเล่าว่าตอนเด็กที่ทำ moderator ก็เป็น inspired ที่ทำให้อยากทำเว็บไซต์ของตัวเอง ก็เลยทำให้ทำเว็บไซต์เกี่ยวกับโปรแกรม อีคอมเมิร์ซตั้งแต่อายุ 13 ปี “ทำเว็บอ่านการ์ตูน เว็บวาไรตี้ หลายๆ เว็บ จริงๆ ยังไม่ถึงยุคโทรศัพท์แต่มีคนเข้าหลักหมื่นคนต่อวัน” นอกจากนั้นแล้ว คุณแณชก็ต่อยอดด้วยการทำ Affiliates เอาของใน Amazon มาทำเว็บขาย หาลู่ทาง ติด google Ads ทำแบนเนอร์ในเว็บที่มีคนเข้า ทำ SEO ให้เว็บติดอันดับ google ให้คนเข้ามาเยอะๆ ทำด้วย passion บางเว็บก็ไม่ทำเพื่อหารายได้” นอกจากนี้ก็ทำ Internet Marketing หารายได้ทางออนไลน์ จึงทำให้ได้สกิลด้าน Marketing มา ซึ่งทำให้มีการหารายได้ในช่วงมหาวิทยาลัยด้วยการรับทำการตลาด “ถ้าในเชิงของการหารายได้ ก็ถือว่าเป็นช่วงที่ทำได้เยอะที่สุดแล้วสำหรับช่วงวัยเด็ก เพราะว่ามีลูกค้าตอนนั้นมากกว่า 40 ราย”
คุณแณชเล่าต่อว่าสกิลต่างๆ ในช่วงวัยรุ่นที่ได้ทำหลายๆ อย่างก็เป็นสกิลที่ทำให้เกิดการต่อยอดได้ในทุกวันนี้ นอกจากนั้นช่วงเวลาที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ในสาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศนั้น ได้ทำโปรเจคหลายๆ อย่าง “เค้าให้เราทำธุรกิจ ตั้งบริษัทขึ้นมาจริงๆ ให้ปี 1 ถึงปี 4 มาจอยทีมกันแล้วก็ทำธุรกิจจริงๆ นำเข้าส่งออกกันจริงๆ ผมว่ามันมีประโยชน์ ได้เรียนรู้จริงๆ ผมคิดว่าคนที่จะสำเร็จตั้งแต่ทำอะไรครั้งแรก มันมีไม่เยอะ เพราะว่าเปอร์เซ็นต์สำเร็จในการทำเรื่องต่างๆ มันมีแค่ประมาณ 10% ต่อให้เราจะเก่ง ถ้าทำได้สัก 30% ก็คือเก่งมากละ ซึ่งอันนี้ก็สอดคล้องกับท่านอื่นที่ผมเคยได้ยินมาว่า ใครทำ 3 อย่าง แล้วสำเร็จ 1 อย่างได้เนี่ยคือเก่งมากละ ผมว่ามันจริงนะ เวลาทำอะไรเนี่ยมันจะมีอุปสรรค มันเป็น stat คือเหมือนกับว่าในเมื่อโอกาสสำเร็จมี 10% คนก็จะเจออุปสรรค แต่ก็จะมีคนที่ผ่านได้และผ่านไม่ได้ ต่อให้ผ่านได้มันก็จะมีเรื่องของความยั่งยืนอีก เพราะก็จะมีอุปสรรคในเรื่องของธุรกิจ อุปสรรคในระดับของตัวเอง ในระดับอุตสาหกรรม ระดับประเทศอะไรแบบนี้ ซึ่งบางอย่างมัน uncontrol เช่น โควิด เป็นอุปสรรคระดับโลก แต่จริงๆ มันจะมีสิ่งที่เรา control ได้ และ control ไม่ได้ในช่วงที่เราทำสิ่งต่างๆ เราก็จะเห็นว่า เรา control ไม่ได้จริงๆ กับสิ่งที่เรา control ได้แหละ แต่เรายังคิดไม่รอบคอบ ในโลกความเป็นจริงมนุษย์เราไม่สามารถรอบคอบได้ 100% แต่คนที่เค้าไปถึงระดับสูงๆ ได้เนี่ย เค้ามักจะมีความรอบคอบที่สูงกว่า และมีฝีมือที่เก่งกว่าด้วยประกอบกัน ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าเป็นคีย์หลักสำคัญที่ต้อง control ในสิ่งที่ control ได้ให้มากที่สุด เก็บรายละเอียดต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เป็นคีย์ที่ผมเรียนรู้มาจากประสบการณ์”
“คนที่ลองผิดลองถูกมาเยอะ ก็จะมีแนวโน้มที่จะรอบคอบได้มากกว่า เพราะว่ามันเจ็บมาเยอะ มันผ่านสิ่งนี้มาแล้ว มันถึงอัตโนมัติที่จะรอบคอบขึ้น การอ่าน การฟังจากคนอื่นก็ไม่เท่ากับประสบการณ์จริงของเรา ความอัตโนมัติของกระบวนการคิดต่างๆ ถ้าเราเคยเจอกับตัวเองมันจะเป็นอัตโนมัติกว่า ผมเลยคิดว่าประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญพอสมควร แต่การเรียนรู้จากคนอื่นก็เป็นเรื่องดีนะ คือทำให้เรารู้ว่าอย่างน้อยทางนั้นก็น่าจะเป็นทางที่ถูกต้อง”
“เราต้องตระหนักด้วยว่า บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นเราอาจจะโทษปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยภายในก็ได้ แต่การโทษตรงนี้ จะใช้คำว่าโทษก็เครียด ต้อง balance อย่างดีมาก เราต้องไม่เครียดด้วย เราต้อง control ความเครียดได้ด้วย และสามารถที่จะบอกว่าเรายังพัฒนาอะไรได้อีก ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าเป็น mindset ที่ยากมากที่จะทำให้ได้จริง“
“องค์ประกอบของความสำเร็จประกอบด้วย ความสามารถ mindset รากฐาน และโชค ความสำเร็จแทบจะทุกสิ่งจะอยู่ใน 4 อย่างนี้เป็นภาพใหญ่ ความพยายามเป็น sub set ของ mindset อีกทีนึง คำว่าโชคคือปัจจัยที่ random คือปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา เราเลยเรียกมันว่าโชค ถ้าเกิดว่าเรารอบคอบน้อย เราจะต้องใช้โชคเยอะ เหมือนเป็นสูตรผสม การที่จะสำเร็จเรื่องนึงได้มันจะไม่ใช่เส้นเดียว คือมันจะมีโชคประกอบด้วย”
เป็นคนชอบเรื่องเทคโนโลยีอยู่แล้ว ชอบเล่นหมากล้อมตั้งแต่เด็ก ติดตามเรื่องเทคโนโลยีและ AI มาตลอด แต่ตอนที่ google ออก AlphaGo ออกมา ทำให้คุณแณชเห็นว่าอนาคต AI จะพัฒนาไปไกลมาก “ตั้งแต่มหาลัยเราก็มีความคิดอยู่แล้วว่า อนาคต AI มันน่าจะสามารถคุยกับมนุษย์ได้ แล้วถึงจุดที่คุยกับมนุษย์ได้แล้วเนี่ย มันจะเป็นพัฒนาการครั้งสำคัญมาก เพราะว่าในยุคที่ AI คุยกับมนุษย์ได้ มันจะเป็นการ Leverage สมอง” คุณแณชเล่าเพิ่มเติมว่า สมมุติอนาคต AI คุยกับคนรู้เรื่อง ก็อาจสอนให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ในอนาคต ซึ่งถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้วอยู่ใน Super Computer ซึ่งขยายออกมาได้เป็นล้านตัว ซึ่งคุณแณชเปรียบเทียบเวลาในการประมวลผล ว่าเป็น speed ทำให้สามารถประมวลผลในสิ่งที่ต้องใช้เวลาล้านล้านปีได้ในระยะเวลาแค่ไม่กี่นาที “หมายความว่าอารยธรรมมนุษย์ 70,000 ปี คิดเทคโนโลยีได้แบบนี้ แต่ถ้ามีนักวิทยาศาสตร์เป็นล้านคน แล้วก็มีเวลาเป็นล้านปี ในโลกจริงไม่กี่นาทีนะครับ ไปคิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็จะเกิดอะไรที่มันอิมแพคมาก ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต ซึ่งถ้าเราเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ แล้วมาทำ simulator แล้วมี AI ที่ใกล้เคียงมนุษย์ แล้วเราก็สอนให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้วเค้าก็ไปลองผิดลองถูกใน simulator ได้ มันก็สามารถจะคิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นยา วัสดุใหม่ๆ อะไรแบบนี้” ซึ่งคุณแณชมีความตระหนักในเรื่องนี้ และคิดว่าจะต้องเตรียมตัวเพื่ออนาคต “เพราะว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง ประเทศที่มี กับ ประเทศที่ไม่มี องค์กรที่มี กับ องค์กรที่ไม่มี มันจะต่างกันเยอะมาก และจะทำให้แตกต่างอย่างมหาศาล จึงเป็น inspire ให้ทำ Alisa”
คุณแณชเล่าต่อถึงเหตุผลของการทำ Alisa ว่ามีหลากหลายเหตุผล ซึ่งการลดช่องว่างระหว่างประเทศที่มี AI กับไม่มี ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เรียกว่าเป็นเจตนาหลักของการทำ Alisa ให้เกิดขึ้นมา นอกจากนั้นก็อยากให้ทุกคนได้ปรับตัว และเข้าถึง AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งตัวของ Alisa เองก็เป็น AI ที่ไม่ได้มีความตระหนักรู้ ไม่ได้มีตรรกะขึ้นมาจริงๆ ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว Alisa จะมีความสามารถจนมีตรรกะขึ้นมาจริงๆ แต่ก็ยังจะอยู่ในการดูแลของมนุษย์
“พอถึงยุคของ AI แล้ว ทุกคนต้องปรับตัว อย่างน้อยที่สุดแล้วเราต้องเป็นผู้ที่ใช้ AI ให้ลองนึกดูว่าเด็กจบใหม่ที่อาจจะเก่งเท่ากันหรือไม่ก็ตาม คนนึงใช้ AI รายงาน 20-30 หน้า ส่งได้เลยในพริบตาเดียว แต่อีกคนต้องไปทำเป็นเดือน มันเกิดความแตกต่างเชิงเวลาอย่างมาก และบางทีในเชิง Performance AI เป็นผู้ช่วยที่ดีมาก อันนี้คือ level ในตอนนี้ด้วย ซึ่งอันนี้ยังไม่ฉับพลันมากนะ มันจะมีอะไรที่ฉับพลันกว่านี้อีกในอนาคต อย่างน้อยที่สุดเลยคนที่ใช้ AI กับไม่ใช้ AI จะเกิดความแตกต่าง แต่ AI ยังถูก control โดยมนุษย์อยู่ หมายความว่าจริงๆ AI ยังไม่ได้มาแทนมนุษย์แบบนั้น แต่ว่าคนที่ใช้ AI เป็นอาจจะมีศักยภาพที่เยอะมาก ถ้าเทียบกับคนที่ไม่ใช้ ดังนั้นเราจึงควรเป็นคนที่ใช้ AI ต่อให้เราจะไม่ได้เก่งเท่าคนที่จบมาสูงๆ ก็ได้ แต่พอใช้ AI ปุ๊บ กลายเป็นเรา Leverage ความสามารถเราทันที ก็เหมือนมีเครื่องจักร ไม่มีเครื่องจักร มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ถ้าเกิดว่าเราไม่ใช้ เราก็อาจจะปรับตัวไม่ทันในยุคที่มันล้ำกว่านี้”
“Alisa คือ Generative AI รายแรกของประเทศไทย ที่สามารถจะพูดคุยได้คล้ายกับมนุษย์ แล้วก็มีข้อมูลจนถึงปัจจุบัน นอกจาก generate ความคิดได้แล้ว ยัง generate รูปภาพได้ด้วย สามารถตั้งทีมโดยการโยนเป้าหมายไป แล้วให้เค้าตั้งทีม AI 10 กว่าตำแหน่งมาทำงานให้เราอัตโนมัติได้ด้วย คล้ายๆ กับเราไปจ้าง CEO, Manager, Specialist มาทำงานให้เราอัตโนมัติ แล้วก็สั่งงานต่อได้ด้วย คล้ายๆ กับเราไปจ้างทีมมา หลักๆ คือช่วยเรื่องของการลดเวลา เพิ่มรายได้ แล้วก็มีฟีเจอร์อีกอันนึงก็คือ chat file ที่เราสามารถที่จะโยนไฟล์ เช่น ไฟล์ document ไฟล์ word ไฟล์ excel ไฟล์ power point ต่างๆ เข้าไปได้ โยนไปเสร็จปุ๊ป น้องจะสรุปมาให้ก่อนเลย ให้นึกว่าสมมุติเรามีเอกสารเป็น 10 หน้า โยนปุ๊ป สรุปให้ก่อนมันก็เร็วแล้ว และอีกส่วน คือสามารถที่จะถามได้ คล้ายๆ มีคนไปอ่านมาให้เราแล้ว ก็สามารถไปปรึกษาหรือถามเค้าได้ หรือขอให้เค้าทำอย่างอื่น เขียนบทละครจากเรื่องนี้ หรือเขียนใหม่เป็นภาษาไทย คือโยนอังกฤษเข้าไป ถามไทยก็ได้ มีงานวิจัย 2,000 หน้าก็โยนเข้าไปแล้วถามน้องก็ได้ เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของทุกคน”
เราถามต่อว่า ทำไมถึงต้องใช้ชื่อว่า Alisa ? คุณแณชเล่าว่าเคยอ่านนิยายเรื่อง Weapon Universe Online ตอนเด็กๆ พระเอกของเรื่องเป็นคนฉลาด ชอบเล่นเกมออนไลน์ แล้วเข้าไปอยู่ในเกมจริงๆ ก็เลยสร้าง Maid AI ขึ้นมามีชื่อว่า Alice คุณแณชบอกว่าแม้จะได้ชื่อว่า Maid AI ก็จริงแต่ทำงานได้ครอบจักรวาล พูดคุยกับคนได้ปกติ มีตัวตนอยู่จริงด้วย ก็เลยเป็น inspire ว่าถ้ามีปัญหาเวลาเขียนโปรแกรมแล้วมี Alice หรือ Alisa เป็นชื่อในหัวที่ตั้งไว้ตั้งนานแล้วมาช่วยก็ดี พอได้ทำ AI ก็เลยใช้ชื่อในหัวตอนนั้นมาเป็นชื่อของ Alisa นั่นเอง
“ตัว base model พัฒนามาจาก Open AI ที่เป็นของ Chat GPT แล้วเราก็เอามาพัฒนาต่อยอดที่จะพัฒนาระบบภาษาไทย ตอบคำถามได้จนถึงปัจจุบัน บางฟีเจอร์ก็อาจจะเป็นเจ้าเดียวของโลก เช่น /goal ก็คือ /gpt + owner goal ก็คือให้เป้าหมายไป เช่น อยากเพิ่มรายได้ร้านขายเค้ก 300,000 ต่อเดือน Alisa ก็จะไปตั้งทีม CEO, Manager, Specialist เหมือนกับเราจ้างคนเหล่านี้มาแล้วเลย ให้ทำงานอื่นต่อได้ด้วย เช่น ขอสูตรขนมเพิ่ม หรือว่าให้ทำโพส facebook เพิ่ม หรือว่าให้เค้าไปวิเคราะห์ research ก็คือบอกเค้า หรืออย่าง chat file เองก็น่าจะเป็นเจ้าแรกๆ ของโลก หรือเป็นเจ้าแรกเลยที่ใช้งานได้จริง เดิมทีจะมีบางเจ้าอยู่แล้วที่เค้ามีรองรับ pdf. แต่ของเราจะรองรับไฟล์ที่หลากหลาย จะมีทั้ง pdf., word, excel, power point รวมถึงวางลิงก์ URL เว็บไซต์เข้าไปได้ด้วย”
“เรามีเจตนาหลักที่จะทำให้เข้าถึงผู้คนได้มากที่สุด เร็วที่สุด ดังนั้นจึงมีให้ใช้ฟรีด้วย ทุกเดือน เดือนละ 50,000 ตัวอักษร ซึ่งอันนี้ผมว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนมาใช้ค่อนข้างเยอะ ในหลากหลายอาชีพ ในงานที่ค่อนข้างหลากหลาย”
คุณแณชบอกว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดของคน คือเรื่องของ “เวลา” ซึ่งมีค่ามากเทียบกับ “เงิน”ไม่ได้เลย “สมมุติคนเงินเดือน 15,000 บาท ถ้าเกิดว่าเค้าสามารถประหยัดเวลาได้ 1-2 ชั่วโมง ต่อเดือน ก็มีมูลค่าหนึ่งถึงสองร้อยบาทแล้ว แต่ถ้ามีเงินเดือนเยอะกว่านั้น สมมุติ 30,000 มันก็เป็น 400 ถ้า 60,000 ก็เป็น 800 ต่อแค่ 1-2 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าใช้เครื่องมือที่ช่วยลดเวลาได้ ก็จะมีประโยชน์มากครับ แล้วก็การที่เราได้เวลาเพิ่ม ไม่ใช่แค่เราลดค่าใช้จ่าย แต่เราสามารถสร้างอย่างอื่นเพิ่มได้อีก ซึ่งฟีเจอร์ที่ลดเวลาได้ง่ายที่สุดก็คือ chat file แค่โยนเข้าไปก็ได้สรุปมาแล้ว อื่นๆ ก็คือเราต้องคิดว่าในงานของเรามีส่วนไหนที่เอา AI มา Leverage ได้บ้าง ซึ่งถ้าเอา AI มา Leverage เราก็จะประหยัดเวลาไปทันทีเลย”
“Alisa ฟรี ใช้ได้ 50,000 ตัวอักษรต่อเดือน จะสามารถทดลองใช้ /goal ได้ 1 ครั้ง ลองสร้างรูปภาพได้ 1 ครั้ง ใช้ chat file ได้วันละ 1 ไฟล์ แต่ถ้าเป็น Alisa ที่เป็นการชำระเงิน คือเริ่มต้นวันละไม่ถึง 5 บาท ถ้าเป็น junior เค้าประหยัดเวลาไปได้ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน คือเงินเดือน 15,000 ก็คือคุ้มละ ถ้าเงินเดือนเยอะกว่านั้น เค้าประหยัดเวลาไปได้เค้าก็คุ้มละในการ subscription Alisa แต่จริงๆ มันสามารถประหยัดเวลาได้มากกว่านั้น อาจจะหลักวันหรือหลักเดือนได้เลย ใช้ฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ เช่น สร้างรูปภาพได้เพิ่มขึ้น ใช้ /goal ได้ ตัว auto gpt รวมถึงใช้ chat file ได้มากขึ้นต่อวัน รวมถึงจำนวนของหน้า เช่น ถ้าตัวฟรีอาจจะ 150 หน้า ตัวเสียเงินอาจจะอัปได้ 2,000 หน้า แล้วก็จะมีหมวด Super Alisa ด้วย ประมาณเดือนละ 12 dollar ซึ่งก็จะโหมดที่ Alisa ฉลาดขึ้นในมุมของ logic การเขียนโปรแกรม หรือให้ทำอะไรที่ซับซ้อนหรือจริงจังมากๆ”
“เราจะต่อยอดเป็นในส่วนของ enterprise คือเดิม Alisa จะเป็น user ที่ใช้ก็คือบุคคล แต่ว่าถ้าเป็น enterprise ก็คือจะรองรับบริษัท เช่น ซื้อ 1 คีย์ อาจจะใช้ได้ 50 คน 100 คน จะมีตัวต่อยอดจาก chat file คือเราจะทำยังไงให้องค์กรเนี่ยเทรน AI ได้ง่ายๆ คือเทรนข้อมูลขององค์กรเข้าไปได้ง่ายๆ โยนไฟล์เข้าไปแล้ว Alisa ก็จะเรียนรู้ และตอบข้อมูลในองค์กรได้ แต่จะตอบได้เฉพาะขององค์กรนั้นนะ ไม่ไปปนกับที่อื่น ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายถูกลงกว่าสมัยก่อน แล้วก็ง่าย”
คุณแณชบอกกับเราว่าในอนาคตยังจะผันผวนอยู่ ตอนนี้เพิ่งจะเป็นยุคเริ่มต้นของ AI ที่คุยกับมนุษย์ได้ ยังมีอะไรอีกมากที่จะต้องพัฒนา และอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่พัฒนา ผลักดันเรื่อง AI ที่จะมี Impact ต่อโลกในอนาคต
“ดีใจนะ ที่พอถึงยุค AI แล้ว เราปรับตัวได้เร็ว ขอบคุณที่ยังปรับตัวได้ทัน แต่ก็ยังต้อง fight อยู่ เพราะในอนาคตมันยังมีเรื่องที่ผันผวนอีกมาก ยังต้องพัฒนาอีกมาก ผมเน้นแข่งกับตัวเอง และสู้กับอนาคตมากกว่า ซึ่งการจะสู้กับอนาคตก็ต้องพัฒนาตัวเอง” เราถามต่อว่าอนาคตอยากเห็นตัวเองเป็นแบบไหน ? คุณแณชตอบว่า อยากเห็นตัวเองมีความสุข อยากเห็นความมั่นคงในอนาคต มั่นคง เสถียร สุขกาย สุขใจ สบายใจ มีเวลามากขึ้น
“ตั้งแต่ AI สามารถคุยกับมนุษย์ได้ การพัฒนา AI มันเร็วมากในระดับโลก ระดับประเทศ ซึ่งผมคิดว่าดีมากที่มีคนตั้งใจจะทำ recommend ว่าให้รีบทำ ให้คิดถึงอนาคตเผื่อไว้ก่อนว่าอนาคตจะเป็นยังไง เพราะว่า AI ที่เราทำในวันนี้ อนาคตมันอาจจะตกยุคไปเลยก็ได้ ถ้าใครที่ทำ AI เรายินดีที่จะสนับสนุนคนที่ทำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เรามีฐานผู้ใช้งานอยู่แล้วในระดับนึง ถ้าใครที่ทำอะไรเจ๋งๆ ขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าจะหาลูกค้าได้จากไหน อาจจะมาคุยกับเรา มาเป็น partner กับเราได้ หรือจริงๆ เราช่วยยิงโฆษณาให้ฟรี หรือเราคิด cost แค่ต้นทุนให้ได้ เพื่อผลักดันว่าของไทยดี และสนับสนุนให้ใช้ของไทยกัน”
Inspire Now ! : เป็นยังไงกันบ้างคะ รู้สึกว้าวเหมือนกันมั้ย ? นอกจากเราจะได้รู้ว่า AI คืออะไร และมีหลักการทํางานอย่างไร ? Alisa AI chatbot น่าสนใจแค่ไหน ผ่านการพูดคุยกับคุณแณช CEO ผู้บริหารยุคใหม่ ผู้พัฒนา Alisa AI chatbot แล้ว ยังได้วิธีคิดในการใช้ชีวิต Growth Mindset ที่มีอยู่ในตัวคุณแณชเยอะมาก รวมถึงมุมมองการทำธุรกิจผ่านบทสัมภาษณ์นี้ด้วยใช่มั้ยล่ะคะ ? จริงๆ แล้วตัว AI เองไม่ได้มาเพื่อทดแทนมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยให้มนุษย์ทำงานได้ง่ายขึ้น ลดเวลาในการทำงานมากขึ้น ดังนั้นจากนี้ลองเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าเราไม่ควรที่จะกลัว AI มาแย่งงาน แต่ต้องกลัวคนที่ใช้ AI เก่งมาแย่งงานมากกว่า ดังนั้น การเปิดใจรับเทคโนโลยีใหม่ เปิดรับเพื่อเรียนรู้ และเริ่มที่จะพัฒนาตัวเองในแง่มุมต่างๆ พร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะอยู่กับ AI นั้นเป็นสิ่งที่เราควรตระหนัก และเริ่มทำทันที |
---|
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว มีมุมมองเกี่ยวกับ AI ยังไงบ้าง มาคอมเมนต์ พูดคุยกันได้นะคะ ♡
แนะนำ 10 วิธีบอกรักทางอ้อม แสดงความรักยังไงแม้ไม่เอ่ยคำว่ารัก มี วิธีบอกรักแฟน ยังไงบ้างให้เค้ารู้ว่าเรารักเค้าแค่ไหนใครบอกรักไม่เก่ง มาอ่านกัน
ชวนเช็ก Love Language คือ ภาษารัก 5 รูปแบบ คุณเป็นแบบไหน แล้วคนรักของคุณเป็นแบบไหน อยากเข้าใจความรัก และคนรักของเรามากขึ้นต้องทำยังไง ดูวิธีกัน
ชวนรู้จักตัวเองให้มากขึ้นผ่าน แบบทดสอบค้นหาตัวเอง พร้อมคำแนะนำในการรู้จักตัวเองผ่านวิธีอื่นๆ และวิธีคิดเพื่อให้คุณได้สนุกกับการทำความรู้จักตัวเองมากขึ้น