จัดสรรเวลา อย่างไร ? ให้มี Work Life Balance สมดุลชีวิตสร้างได้จริง แค่เริ่มทำ !
ชวนรู้จักความสำคัญ และวิธีการ จัดสรรเวลา เพื่อให้มี Work Life Balance ความสมดุลในชีวิตทำให้เกิดความสุข และประสิทธิภาพในระยะยาวยังไง ต้องอ่าน
เคยไหมคะ พอถึงวันที่ต้องไปทำงานทีไรรู้สึกห่อเหี่ยวใจทุกที ไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบไหน แสดงออกยังไงให้เพื่อนร่วมงานชอบ เรียนรู้ How to มามากแค่ไหน อ่านหนังสือพัฒนาตัวเองมากเท่าไร ก็ยังทำตัวไม่ถูกอยู่ดี จนบางทีอาจส่งผลให้งานที่ทำออกมาไม่ดีไปด้วย DIYINSPIRENOW เราจึงได้รวบรวม สุภาษิตนิสัยคน มาเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนได้เรียนรู้ที่จะแสดงพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เพราะบางทีอาจไม่ใช่ที่เค้า แต่การที่เราเจอปัญหา ไม่มีความสุข นั่นเพราะปัญหาที่แท้จริงอาจมาจากที่ตัวเราก็เป็นได้ เอาหล่ะ ไปดูกันเลยค่ะ
ปกติคนเรามักจะชี้ออกไปหาคนอื่นเมื่อเราพบเจอกับปัญหา หงุดหงิดใจ ใช่มั้ยหล่ะคะ และบ่อยครั้งที่เราเป็นแบบนี้ มันก็จะสร้างนิสัยโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวว่าเป็นเพราะเราเองที่ควรแก้ไข ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรานี่แหละที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ เราลองมาดูสุภาษิตนิสัยคน เอาไว้เตือนใจทั้งตัวเรา และเอาไว้ฝึกใจในการมองคนอื่นเพื่อร่วมงาน ร่วมสังคมกันได้อย่างมีความสุขกันค่ะ
สุภาษิตแรกที่เราจะมาแชร์กันเป็นสุภาษิตนิสัยคนที่หลายคนคงเคยได้ยินหรือคุ้นหูกันเป็นอย่างดี เคยไหมคะกับการเจอคนที่ชอบติเตียน คอยว่าแต่คนอื่นอาจจะด้วยความหวังดีหรือด้วยความไม่รู้ตัว แต่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นสักเท่าไร ว่าแต่คนอื่นแต่ไม่มองตัวเอง สุภาษิตไทยจึงเรียกว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” นั่นเองค่ะ
ขวานผ่าซาก หมายถึง พูดจาตรงๆ แบบไม่เกรงใจใคร จริงๆ แล้วการพูดจาตรงไปตรงมาถือเป็นสิ่งที่ดีนะคะ แต่ต้องดูเรื่องของสถานการณ์ กับกาละเทศะด้วย ไม่ใช่ว่าคิดอยากจะพูดก็พูด ถ้าอยากจะพูดตรงๆ ควรพูดด้วยใจที่มีเมตตา ไม่ใช่ใจที่คิดอยากจะเอาชนะ ซึ่งการพูดด้วยใจที่ขุ่นมัว อยากจะทำร้ายฝ่ายตรงข้ามด้วยวาจา แบบนี้แหละค่ะที่เรียกว่าขวานผ่าซาก นั่นจะทำให้คนฟังรู้สึกแย่ ความสัมพันธ์ในการร่วมงานแย่ลอง ดังนั้นการมีทักษะทางสังคมในการเคารพและให้เกียรติผู้อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การทำงานราบรื่นไม่ทำร้ายกันค่ะ
หมายถึง ผู้ที่พูดจาอ่อนหวาน แต่ไม่ได้มีความจริงใจอยู่ในคำพูดนั้น ซึ่งการทำงานที่จะทำให้เรามีความสุขและยั่งยืนได้ต้องเริ่มจากการมอบความจริงใจให้กัน เห็นด้วยมั้ยคะ ?
สุภาษิตนี้หมายถึง การทำดีเพียงผิวเผิน ทำดีเพื่อเอาหน้า หรือทำให้จบๆ ไปทั้งที่งานยังไม่เสร็จเรียบร้อย การเป็นคนที่ทำงานแบบผักชีโรยหน้าถือว่าเป็นสิ่งที่ด้อยค่าความสามารถตัวเอง ซึ่งใครที่ทำงานไม่ทัน แล้วต้องผักชีโรยหน้าบ่อยๆ ลองจัดสรรเวลาด้วยเทคนิค pomodoro ดูนะคะ เพราะการจัดสรรเวลาทำงาน สลับกับการพักด้วยจะช่วยให้งานออกมาสำเร็จลุล่วง ได้ประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเองค่ะ
สุภาษิตนิสัยคนนี้หมายถึง การพูดพล่อยๆ ไปเรื่อยโดยไม่ยั้งคิด สุดท้ายตนเองก็ได้รับอันตรายจากคำพูดนั้น ซึ่งในวงสังคม ในวงที่เราทำงาน เราก็มักจะเห็นว่ามีสักคนที่เป็นแบบนี้ ซึ่งหากเราอยากจะช่วยเค้า เมื่อเรารู้แล้วว่าเค้าเป็นคนแบบนี้ ทางแก้ก็คือการยอมรับเค้าก่อนค่ะว่าเป็นคนแบบนี้ แล้วไม่ด่าทอ ไม่ซ้ำเติม แต่ค่อยๆ หาวิธีแก้ปัญหา ค่อยๆ เตือนเค้า เพื่อพัฒนาทั้งเค้าและเราไปพร้อมๆ กัน
ยกตนข่มท่านเป็นการพูดทับถมผู้อื่นแสดงให้เห็นว่าตัวเหนือกว่า เป็นอีกหนึ่งสุภาษิตนิสัยคนที่ทำให้ให้เราได้เห็นนิสัยคนที่ชอบเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อให้ตนเองได้ไปอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จ ขาดซึ่งความเคารพให้เกียรติ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เมื่อเรารู้แล้ว เราก็อย่าลืมสังเกตตัวเอง ก่อนไปโทษคนอื่นด้วยนะคะ
ประโยคนี้แสดงให้เราเห็นถึงนิสัยคนที่ชอบว่าแต่คนอื่นไม่มองตัวเอง สุภาษิตไทยนี้หมายถึง ผู้ที่ทำผิดพลาดเอง แต่ดันไปโยนความผิดให้คนอื่น ทางที่ดีเมื่อเราผิดพลาดควรที่จะมองย้อนกลับมาที่ตนเอง แสดงความรับผิดชอบถึงสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไป และพร้อมที่จะแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น
หมายถึง การทำความดีมีความซื่อตรง ไม่ต้องคอยระแวงใคร แต่หากคดโกงไม่สุจริต สักวันจะเดือดร้อนเมื่อความจริงถูกเปิดเผย เพราะฉะนั้นในการทำงานก็เช่นกัน เราควรมีความซื่อตรง ไม่ควรคดโกงทุจริตเพื่อความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนค่ะ
อยู่ดีไม่ว่าดี ไปหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว คือความหมายของสุภาษิตที่ว่า แกว่งเท้าหาเสี้ยนค่ะ ขยายความได้ว่า เรามีน้ำใจให้กับเพื่อนร่วมงานได้ในการช่วยเค้าพัฒนาเค้าให้งานราบรื่นขึ้นไป แต่ไม่ควรที่จะไปหาเรื่อง ขุดคุ้ยที่มันไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะนั่นจะเป็นการนำภัยมาสู่ตัวเองได้ ดังคำกล่าวที่ว่าเราไม่ควรยุ่งเรื่องของคนอื่นมากเกินไป เราควรรู้จักตัวเราให้มากกว่าเรื่องของคนอื่น
หมายถึงทำตัวเข้ากับทั้งสองฝ่ายที่เขาไม่ถูกกัน โดยหวังประโยชน์เพื่อตัวเอง เป็นสุภาษิตนิสัยคนที่เราอาจเคยเจอในการทำงาน หรือเป็นตัวเราเองที่เคยทำไปโดยที่ไม่รู้ตัว ทางที่ดีในสังคมการทำงานเราควรที่จะตั้งตนอยู่บนความถูกต้องมากกว่าที่จะมาหวังผลประโยชน์ชั่วคราว
สุภาษิตนี้หมายถึง การทำหรือคาดหวังอะไรสองอย่างพร้อมๆ กัน โดยไม่คำนึงถึงความสามารถของตนเอง สำหรับการทำงานให้ดีและมีประสิทธิภาพ เราควรมีการประเมินศักยภาพความสามารถของตนเองไม่ทำอะไรที่เกินตัวเกินไป จนทำให้งานที่ทำออกมาไม่ดีเท่าที่ควรค่ะ
ฉวยเอาผลประโยชน์ของผู้อื่น โดยตัวเองไม่ได้มีการลงทุนลงแรง เป็นความหมายของสุภาษิตนิสัยคนที่แสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวจากการนำผลงานหรือความคิดของผู้อื่นมาเป็นของตนเองโดยที่ไม่ได้ทำการขออนุญาตเจ้าของผลงานก่อนนั่นเองค่ะ
หมายถึง ต่างคนต่างอารมณ์ร้อน ไม่มีใครยอมใคร เป็นการว่าแต่คนอื่นไม่มองตัวเอง สุภาษิตนี้แสดงให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้อารมณ์นำทาง มากกว่าที่จะใช้เหตุผล จนอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีค่ะ
หมายถึง ผู้ที่โลเล ไม่แน่นอน สำหรับการทำงานนิสัยโลเล ไม่มีความแน่นอนถือเป็นนิสัยที่ต้องแก้ไข เพราะในการทำงานต้องมีความจริงจัง กล้าคิด กล้าตัดสินใจที่แน่นอน
สุภาษิตนี้หมายถึง ผู้ที่มีความเพียรพยายาม ทำทุกสิ่งให้สุดความสามารถ จนกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งการพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการมีแรงบันดาลใจในชีวิต ผ่านการให้กำลังใจตัวเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมที่จะก้าวข้ามความกลัว เพียงเท่านี้เราก็สามารถพัฒนาตัวเองให้ไปสู่ความสำเร็จได้ไม่ยากค่ะ
การอ่านสุภาษิตไม่ใช่แค่การจำคำสวย ๆ แต่คือการเปิดประตูเข้าใจนิสัยคน และย้อนมองนิสัยตัวเองไปพร้อมกัน สุภาษิตหลายบทสะท้อนให้เห็นว่าคนเราคิด พูด ทำ อย่างไร แล้วผลลัพธ์มันตามมาแบบไหน — ถ้าเรารู้ทันและกล้ายอมรับ มันคือโอกาสทองในการ “ตั้งสติและปรับใจ” ไปทีละนิด
ลองเลือกสัก 1–2 สุภาษิตที่รู้สึกว่า “โดนใจแปล๊บ” หรือ “เอ๊ะ เหมือนเราเลยนะ” นั่นแหละคือคำที่ควรหยิบมาใคร่ครวญ เช่น ถ้ารู้ตัวว่าใจร้อน ลองกลับไปอ่านสุภาษิตที่เตือนเรื่องอารมณ์ แล้วถามตัวเองว่า “เราอยากให้ชีวิตเดินด้วยความวู่วาม หรือด้วยความสุขุม?”
สุภาษิตบางบทพูดถึงผลเสียจากพฤติกรรม เช่น “พูดมากมักพลาด” แต่แทนที่จะกลัวคำเตือนนั้น ลองแปลงให้เป็นคำแนะนำ เช่น “ถ้าอยากพูดให้ดีขึ้น ต้องฟังให้มากขึ้นก่อน” ลองแปลงมุมมองจากโทษ เป็นทางออก
ไม่ต้องรอวันพิเศษ วันธรรมดานี่แหละคือลานฝึกฝน ลองเลือก 1 สุภาษิตต่อสัปดาห์ แล้วตั้งใจสังเกตตัวเอง เช่น ถ้าสัปดาห์นี้เลือก “น้ำนิ่งไหลลึก” ก็ลองฝึกสังเกตก่อนตัดสินใคร พูดให้น้อยแต่ลึกซึ้งมากขึ้น หรือสัปดาห์หน้าจะลอง “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” ฝึกเก็บออมในทุกๆ เรื่อง
การพูดถึงสุภาษิตในบทสนทนา ไม่ใช่เรื่องโบราณเลย แต่อาจทำให้คนรอบข้างฉุกคิดขึ้นมาได้เหมือนกัน แชร์สุภาษิตที่ชอบลงโซเชียล แล้วเล่ามุมมองเล็ก ๆ ของเรา ทั้งเป็นแรงบันดาลใจ และยังได้เรียนรู้จากมุมมองคนอื่นด้ว
สุภาษิตหลายบทอาจกระทบใจ เพราะมันจริงเกินไป อย่าเพิ่งตัดสินตัวเองว่าแย่ แต่ให้มองว่า “เราโชคดีที่เห็นมันทันในวันนี้” แล้วค่อย ๆ ปรับ ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองในวันเดียว แต่แค่ไม่หยุดพัฒนา นั่นแหละคือสิ่งที่มีค่าที่สุด
Inspire Now ! : การเรียนรู้สุภาษิตนิสัยคนช่วยให้เรามองเห็นนิสัยของตัวเอง และได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจนิสัยของผู้อื่นมากขึ้นได้มากขึ้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนสนุกกับการพัฒนาตัวเอง และมีความสุขกับการพัฒนาทักษะทางสังคมในการทำงานนะคะ ยิ้มเยอะๆ คิดบวก และมองโลกตามความเป็นจริงเข้าไว้ เราเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีอย่างแน่นอนค่ะ |
---|
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าใช่ไหม ? ใครที่นำสุภาษิตนิสัยคนไปปรับใช้ในที่ทำงานแล้ว ได้ผลยังไงอย่าลืมมาคอมเมนต์บอกกันด้วยนะคะ ♡
ชวนรู้จักความสำคัญ และวิธีการ จัดสรรเวลา เพื่อให้มี Work Life Balance ความสมดุลในชีวิตทำให้เกิดความสุข และประสิทธิภาพในระยะยาวยังไง ต้องอ่าน
พัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยPDCA ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่ช่วยให้ลงมือทำได้จริง พร้อมตัวอย่างการใช้ในองค์กร และเคล็ดลับปรับปรุงงานแบบเห็นผล
ชวนดูคำแนะนำการ ปฏิเสธสัมภาษณ์งาน เมื่อเจองานที่ยังไม่ใช่ พร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย และทิปส์สำหรับคนอยากสัมภาษณ์งานแล้วได้งาน