ในบทบาทการเป็นพ่อแม่หรือการเป็นผู้ปกครองแล้ว นอกจากความกังวลว่าจะเลี้ยงดูบุตรหลานอย่างไรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งเรื่องการดูแลสุขภาพร่างกาย เรื่องอาหารการกิน การมีพัฒนาการให้เหมาะสมตามวัย และแม้เด็กๆ จะถึงวัยไปโรงเรียนและได้รับการสอนสั่งจากโรงเรียนมาแล้ว เรื่อง “วิธีสอนลูก” ก็ยังเป็นเรื่องที่พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ค่ะ เพราะครอบครัวและพ่อแม่ผู้ปกครอง ถือเป็นคุณครูคนแรกของเด็กๆ ในการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดู ฟูมฟักเด็กๆ ให้เติบโตมาอย่างดีอีกด้วย ในบทความนี้ DIYINSPIRENOW จึงอยากนำเสนอเรื่อง Parenting Styles ทั้ง 4 แบบ เพื่อให้พ่อๆ แม่ๆ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ
ชวนรู้จัก วิธีสอนลูก จากสไตล์การเลี้ยงดูของพ่อแม่ เราเป็นพ่อแม่ที่สอนลูกแบบไหนกันนะ ?
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พ่อแม่ ก็เป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน มีทั้งนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก มีทั้งนิสัยที่ดี นิสัยที่ต้องได้รับการขัดเกลาพัฒนาไม่ต่างกัน และ Parenting Styles ที่เรานำเสนอในครั้งนี้นั้นอาจทำให้พ่อแม่หลายๆ คน ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น พัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น และมีวิธีสอนลูก เลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุขมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งนักจิตวิทยาได้แบ่งสไตล์การเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่โดยแบ่งออกเป็น 4 แบบ แล้วเราล่ะเป็นพ่อแม่แบบไหน ? มีมาดูรายละเอียดของแต่ละแบบกันได้เลยค่ะ
หนังสือ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF
Parenting Styles คืออะไร ? 4 แบบ มีอะไรบ้าง ?
Parenting Styles คือแนวทางหรือวิธีการที่พ่อแม่ใช้ในการอบรมเลี้ยงดูและมีปฏิสัมพันธ์กับลูก รวมถึงวิธีการที่พ่อแม่ตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของลูก แนวทางเหล่านี้สะท้อนถึงทัศนคติ ค่านิยม และความเชื่อของพ่อแม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็ก ตลอดจนส่งผลต่อพฤติกรรมและบุคลิกภาพของเด็กในระยะยาว ทั้ง 4 แบบ มีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
1. แบบบงการ (Authoritarian)
Image Credit : pexels.com
ประเภทของครอบครัวที่มีการสอนลูกแบบบงการ หรือแบบเผด็จการ เป็นการเลี้ยงลูกที่ผู้ปกครองพยายามจะควบคุมกำหนดพฤติกรรม ความคิดของลูกๆ ตามมาตรฐานที่ตนได้วางไว้ ซึ่งมักจะเป็นมาตรฐานที่มีความสมบูรณ์แบบ เข้มงวด เป็นสิ่งที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองเชื่อว่าถูกต้องและดีสำหรับเด็กๆ หากลูกๆ ไม่ทำตาม ก็จะถูกลงโทษหรือถูกตำหนิ ทั้งยังจำกัดความเป็นอิสระของเด็กๆ โดยการควบคุมดูแลไม่ให้คลาดสายตา และปลูกฝังว่าลูกๆ ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่าง ห้ามโต้แย้ง และเชื่อว่าเด็กๆ ควรอยู่ในกรอบที่พ่อแม่กำหนดไว้ให้ ซึ่งวิธีสอนลูกแบบนี้ ในวัยเด็กอาจจะยังไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แต่เมื่อลูกโตขึ้นและเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น อาจจะเกิดความขัดแย้งกันได้
ข้อดี
- ลูกมีระเบียบวินัยดี
- เชื่อฟังและทำตามกฎได้ง่าย
- ดูแลความปลอดภัยได้ดีขึ้น เพราะลูกมักทำตามที่พ่อแม่บอก
- ลูกมีความรับผิดชอบสูง
- เรียนรู้ที่จะเคารพผู้ใหญ่
ข้อเสีย
- ลูกอาจขาดความมั่นใจในตัวเอง
- ไม่กล้าแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็น
- อาจเก็บกดความโกรธหรือความไม่พอใจ
- ขาดความคิดสร้างสรรค์และการคิดอย่างอิสระ
- อาจเริ่มโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ
- ทักษะทางสังคมและการสื่อสารอาจไม่ดีเท่าที่ควร
- ความสัมพันธ์กับพ่อแม่อาจแย่ลงในระยะยาว
ข้อแนวทางการพัฒนาตัวเองสำหรับ พ่อแม่ที่เป็นแบบ Authoritarian
- ฝึกรับฟังลูกมากขึ้น ให้โอกาสลูกแสดงความคิดเห็น
- อธิบายเหตุผลของกฎหรือคำสั่งต่างๆ แทนการบังคับโดยไม่มีคำอธิบาย
- ลดการใช้การลงโทษ หันมาใช้การพูดคุยและให้ผลลัพธ์ตามธรรมชาติแทน
- ฝึกควบคุมอารมณ์ตัวเอง ลดการตะคอกหรือใช้อำนาจ
- ให้คำชมเชยเมื่อลูกทำดี ไม่ใช่แค่ตำหนิเมื่อทำผิด
- สร้างความสมดุลระหว่างความเข้มงวดกับความอบอุ่น
- เปิดโอกาสให้ลูกตัดสินใจในเรื่องที่เหมาะสมกับวัย
- ฝึกยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ยึดติดกับกฎตายตัวจนเกินไป
- พยายามเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของลูก
- หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กและวิธีการเลี้ยงดูแบบอื่นๆ
2. แบบละเลย (Uninvolved)
Image Credit : canva.com-pro
การเลี้ยงดูลูกแบบละเลย มักเกิดขึ้นในครอบครัวที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองมักไม่ค่อยมีเวลาให้เด็กๆ ไม่ค่อยดูแลใส่ใจเด็กๆ ในบ้าน หรืออาจมีท่าทีปฏิเสธลูก เช่น ลูกชวนเล่นด้วยก็บอกว่ายุ่ง ทำงานอยู่ ลูกชวนไปเที่ยวก็อาจจะขอให้พี่เลี้ยงหรือคนอื่นพาไปแทน เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการปฏิเสธลูกแล้ว ยังไม่แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมอีกด้วย เด็กที่เติบโตมากับการเลี้ยงดูแบบนี้มักมีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ (Low Self – Esteem) และเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ (Low Self – Confidence) ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยกล้าเข้าหาคนอื่น ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะเด็กรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการยอมรับและไม่มีค่า จากการเข้าหาพ่อแม่และถูกปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง เมื่อโตขึ้นอาจไม่มีความผูกพันกับพ่อแม่หรือผู้ปกครองในบ้าน และแสวงหาความรักความอบอุ่นจากบุคคลอื่นเพื่อทดแทนในสิ่งที่พ่อแม่ละเลย การเลี้ยงลูกแบบปล่อยปะละเลยและไม่ให้ซึ่งความรักความอบอุ่น เมื่อเด็กๆ โตขึ้น ในบางคนอาจเลือกคบคนหรือคบเพื่อนที่ไม่เหมาะสมได้ เช่น เข้ากลุ่มเพื่อนที่เสพยาเพื่อแสวงหาการยอมรับ หรืออยู่ในความสัมพันธ์ที่ Toxic เป็นต้น
ข้อดี
- เด็กอาจพัฒนาความเป็นอิสระและพึ่งพาตนเองได้เร็ว
- เด็กอาจเรียนรู้ทักษะการแก้ปัญหาด้วยตนเอง
- พ่อแม่มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น
ข้อเสีย
- เด็กอาจรู้สึกถูกทอดทิ้งหรือไม่ได้รับความรัก
- ขาดการชี้แนะและสนับสนุนที่จำเป็นสำหรับพัฒนาการ
- เสี่ยงต่อปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ในอนาคต
- อาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก
- เด็กอาจมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลการเรียนและความสำเร็จในชีวิต
ข้อแนวทางการพัฒนาตัวเองสำหรับ พ่อแม่ที่เป็นแบบ Uninvolved
- ตระหนักรู้ : ยอมรับว่าต้องปรับปรุงการเลี้ยงดู
- เพิ่มการให้เวลากับลูก : ใช้เวลากับลูกมากขึ้น ทำกิจกรรมร่วมกัน
- ปรับการสื่อสาร : ฟังลูกอย่างตั้งใจ พูดคุยอย่างเปิดใจ
- แสดงความรัก : ทั้งคำพูดและการกระทำ
- สร้างขอบเขต : ตั้งกฎที่ชัดเจน ใช้วินัยเชิงบวก
- เรียนรู้ : ศึกษาเรื่องพัฒนาการเด็กและทักษะการเลี้ยงดู
- ดูแลตัวเอง : จัดการความเครียด หาคนปรึกษาเมื่อหาทางออกไม่ได้
- ตั้งเป้าหมาย : กำหนดเป้าหมาย พัฒนาตัวเอง และติดตามความก้าวหน้า
3. แบบตามใจ (Permissive)
Image Credit : pexels.com
วิธีสอนลูกแบบตามใจ จะเป็นการเลี้ยงดูลูกๆ แบบให้ความรักความอบอุ่น ใจดี แต่หละหลวมในกฎระเบียบหรือความเข้มงวดที่ควรมี พ่อแม่จะให้อิสระลูกอย่างเต็มที่ และไม่กล่าวตักเตือนหรือบอกลูกว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ ซึ่งในวัยเด็กควรจะได้รับการบอกกล่าวชี้แนะในสิ่งที่ถูกที่ควร เพื่อการเติบโตมาเป็นคนที่ดีของสังคม พ่อแม่หรือผู้ปกครองคนไหนที่มีวิธีสอนลูกแบบตามใจ จะทำให้เด็กเติบโตมาเป็นคนที่หุนหันพลันเล่น เอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้ อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่อยู่ในกฏระเบียบของสังคม ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ หรือมีบุคลิกภาพแบบพึ่งพาหรือมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมได้
ข้อดี
- เด็กมีความมั่นใจในตนเองสูง
- มีความคิดสร้างสรรค์ และกล้าแสดงออก เพราะได้รับการส่งเสริม
- มีความใกล้ชิดกันในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก
- เด็กจะรู้สึกได้รับความรักและการยอมรับ
- ทักษะการสื่อสารของเด็กอาจพัฒนาได้ดี
ข้อเสีย
- เด็กอาจขาดวินัยและการควบคุมตนเอง
- อาจมีปัญหาในการปฏิบัติตามกฎระเบียบในสังคม
- อาจไม่ได้รับการพัฒนาทักษะการจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม
- มักคาดหวังว่าทุกคนจะใจดีกับตนเสมอ
- อาจเกิดปัญหาพฤติกรรมในโรงเรียนหรือสังคม
- พัฒนาการด้านทักษะการรับผิดชอบอาจพัฒนาได้ช้า และไม่ดีเท่าที่ควร
- อาจมีปัญหาในการจัดการกับความผิดหวังหรือความท้าทาย
ข้อแนวทางการพัฒนาตัวเองสำหรับ พ่อแม่ที่เป็นแบบ Permissive
- สร้างกฎที่ชัดเจน : ตั้งกฎพื้นฐานและบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ
- ฝึกการตั้งขอบเขต : เรียนรู้ที่จะปฏิเสธคำขอของลูกที่ไม่เหมาะสม
- ใช้วินัยเชิงบวก : แก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์อย่างสร้างสรรค์
- สอนความรับผิดชอบ : มอบหมายงานบ้านและความรับผิดชอบตามวัย
- ฝึกการจัดการอารมณ์ : สอนวิธีจัดการกับความผิดหวังและความโกรธ
- ฝึกให้ลูกได้รู้จักการแก้ปัญหา : ให้ลูกคิดหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
- รักษาสมดุล : ให้ความอบอุ่นเหมือนเดิมแต่เพิ่มความเด็ดขาดตามความเหมาะสม
- เรียนรู้เทคนิคใหม่ : ศึกษาวิธีการเลี้ยงดูที่มีประสิทธิภาพ
- ให้ผลลัพธ์ตามการกระทำ : สอนให้ลูกเข้าใจผลของการกระทำของตน
- ฝึกความอดทน : ฝึกความอดทนให้ลูกในการรักษากฎ และขอบเขต
หนังสือ ชมลูกให้ถูก ติลูกให้เป็น
4. แบบใส่ใจดูแล (Authoritative)
Image Credit : pexels.com
ประเภทสุดท้ายของ Parenting Styles คือการเลี้ยงดูลูกแบบใส่ใจดูแล พ่อแม่หรือผู้ปกครองแบบนี้จะคอยให้การสนับสุนช่วยเหลือลูก และมีความยืดหยุ่น รับฟังลูกๆ พูดคุยกับลูก มีวิธีสอนลูกด้วยเหตุผล และในขณะเดียวกันก็มีการกำหนดกฎระเบียบไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เด็กๆ มีวินัยในตัวเอง นอกจากนี้ ยังแสดงถึงความรัก ความอบอุ่น ใกล้ชิดกับลูกๆ อย่างเต็มที่ ให้ลูกมีอิสระตามความเหมาะสม เด็กที่โตมาด้วยวิธีการเลี้ยงดูแบบนี้ มักเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส มีความมั่นใจในตัวเอง มีความฉลาดทางอารมณ์ เข้ากับคนอื่นได้ดี และมีระเบียบวินัยในตนเองค่ะ
ข้อดี
- เด็กมักมีความมั่นใจและความนับถือตนเองสูง
- พัฒนาทักษะการควบคุมตนเองได้ดี
- มีความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหา
- มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่และผู้อื่น
- มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จทางการศึกษา
- พัฒนาความรับผิดชอบและวินัยในตนเอง
- มีทักษะทางสังคมและอารมณ์ที่ดี
ข้อเสีย
- อาจต้องใช้เวลา และความพยายามมากในการเลี้ยงดู
- บางครั้งอาจยากในการรักษาสมดุลระหว่างความเข้มงวดและความยืดหยุ่น
- อาจไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์หรือทุกวัฒนธรรม
- เด็กอาจรู้สึกกดดันจากความคาดหวังสูง
- ลูกอาจมีอาการขัดแย้งในช่วงวัยรุ่นเมื่อต้องการอิสระมากขึ้น
ข้อแนวทางการพัฒนาตัวเองสำหรับ พ่อแม่ที่เป็นแบบ Authoritative
- พัฒนาทักษะการสื่อสารเชิงบวก : ใช้ภาษาที่สร้างสรรค์ เน้นการแก้ปัญหา ไม่ตำหนิหรือวิจารณ์
- ฝึกรับฟังอย่างตั้งใจ : ให้ความสนใจเต็มที่เมื่อลูกพูด ไม่ขัดจังหวะ และพยายามเข้าใจความรู้สึกของลูก
- ตั้งขอบเขตที่ชัดเจนแต่ยืดหยุ่น : กำหนดกฎที่เหมาะสมกับวัย แต่พร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์
- ให้เหตุผลประกอบกฎระเบียบ : อธิบายว่าทำไมกฎนั้นๆ จึงสำคัญ ช่วยให้ลูกเข้าใจและยอมรับง่ายขึ้น
- สนับสนุนความเป็นอิสระของลูก : ให้โอกาสลูกตัดสินใจด้วยตนเอง ภายใต้การแนะนำที่เหมาะสม
- แสดงความรักอย่างสม่ำเสมอ : ทั้งทางวาจาและการกระทำ ให้ลูกรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย
- ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง : กล้าขอโทษเมื่อทำผิด เป็นแบบอย่างของความรับผิดชอบ
- ส่งเสริมการแก้ปัญหาด้วยตนเอง : ช่วยแนะนำวิธีคิด แต่ให้ลูกลงมือแก้ปัญหาเอง เพื่อสร้างทักษะชีวิต
- ให้คำชมเชยอย่างเฉพาะเจาะจง : ชมในสิ่งที่ลูกทำได้ดี บอกเหตุผลว่าทำไมจึงดี ไม่ชมแบบกว้างๆ
- พัฒนาความอดทนและการควบคุมอารมณ์ : ฝึกจัดการความเครียด ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจหรือลงโทษลูก
วิธีการสอนลูก หรือวิธีการเลี้ยงลูก ของพ่อแม่เป็นอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเด็กๆ จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบใด เนื่องจากครอบครัวถือเป็นพื้นฐานชีวิตที่สำคัญที่สุดสำหรับคนๆ หนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในฐานะการเป็นผู้ปกครองหรือการเป็นพ่อแม่นั้น การเลี้ยงดูเด็กๆ ให้เติบโตมาอย่างดีและเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะการเลี้ยงลูกคนแรกหรือท้องแรก ที่พ่อแม่อาจมีกังวลเป็นอย่างมาก และเผลอใช้วิธีสอนลูกที่ไม่เหมาะสมได้
ทั้งนี้พ่อแม่ที่เป็นแบบ Authoritative นั้น เรียกว่าเป็นสไตล์ และใช้วิธีเลี้ยงลูกที่เหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เนื่องจากทำให้เด็กๆ ได้รับความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่ เด็กๆ จะมีความมั่นคงทางจิตใจ รู้สึกว่าตนเองปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็อยู่ในกฎระเบียบ รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ และมีระเบียบวินัยในตนเอง เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม ในขณะเดียวกันก็ยังมีอิสระและมีความมั่นใจในตัวเอง ยังคงเป็นตัวของตัวเอง และเติบโตมาเป็นผู้ใหญที่ดีได้ค่ะ
ถ้าเราใช้วิธีสอนลูกที่ไม่เหมาะสมอยู่ ควรทำอย่างไรดี ?
Image Credit : pexels.com
ถ้าผู้ปกครองหรือพ่อแม่คนไหนกำลังคิดว่า วิธีที่สอนลูกหรือการเลี้ยงที่ตัวเองใช้อยู่นั้น เป็นวิธีที่ไม่เหมาะสมและอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อเด็กๆ ก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกของตนเองได้ โดยไม่ต้องรู้สึกผิดไป ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้ค่ะ
- ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง และให้อภัยตัวเองถ้าเคยทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับลูก เช่น ใช้กำลัง หรือตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง
- พูดคุยกับลูกเยอะๆ ให้ลูกได้แสดงความคิดเห็น และรับฟังลูกอย่างเปิดใจ ไม่เอามาตรฐาน หรืออุดมคติของตัวเองมาเป็นกรอบกั้น สื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน และพูดคุยกันด้วยเหตุผล
- แสดงความรักกับลูกเยอะๆ ในบางคนอาจเขินอายหรือไม่กล้าบอกรักลูก ก็สามารถแสดงออกด้วยการกระทำได้ เช่น กอด หอม หรือดูแลเอาใจใส่โดยการทำกับข้าวให้กิน รับฟังเด็กๆ เวลาเด็กพูดคุยหรือเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ใช้เวลาอยู่กับเด็กๆ ให้มากขึ้น ที่สำคัญคือ ต้องเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ควรตั้งเงื่อนไขว่า ต้องทำแบบนั้นแบบนี้พ่อแม่ถึงจะรัก เพราะอาจสร้างปมในจิตใจให้เด็กและส่งผลต่อพฤติกรรม หรือบุคลิกภาพในตอนโตได้
- หาโอกาสทำความเข้าใจกับลูก หากเป็นคนที่มีวิธีเลี้ยงลูกแบบละเลย ก็อาจจะพูดคุยกับลูกให้เข้าใจว่าเพราะตนเองทำงานเพื่อที่จะได้มีเงินมาเลี้ยงดูลูกๆ และหาโอกาสใกล้ชิดกับลูกให้มากขึ้น ไม่ทำงานในวันหยุดและใช้เวลากับครอบครัว ถ้ามีวิธีสอนลูกแบบบงการก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตนเอง และตระหนักว่าการบังคับลูกอาจไม่ส่งผลดีกับเด็ก และถ้าเลี้ยงลูกแบบตามใจ ก็อาจจะต้องค่อยๆ พูดคุยกับลูกๆ ว่า ต้องมีวินัยในตัวเองและทำตามกฎระเบียบ เพื่อที่จะได้ทำอะไรสำเร็จ และอยู่ร่วมกับคนอื่นได้
- ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ การพูดคุยกับนักจิตวิทยาครอบครัว หรือนักจิตวิทยาเด็ก ก็จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจลูกมากขึ้น และมีวิธีการเลี้ยงลูกที่ดีขึ้นและเหมาะกับเด็กๆ มากขึ้นค่ะ
และนี่ก็เป็น Parenting Styles ทั้ง 4 แบบ ที่ทำให้พ่อๆ แม่ๆ ได้ตระหนักว่า เราใช้วิธีสอนลูก วิธีเลี้ยงลูกแบบไหนกันอยู่ หากอ่านแล้วรู้แล้วว่าเราเป็นสไตล์ไหน ก็ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ เราสามารถพัฒนาตัวเรา เพื่อปรับตัวเอง ให้เป็นคนที่ดีขึ้น เพื่อให้เลี้ยงลูกได้อย่างดีขึ้น เพราะเราเชื่อว่า ไม่ว่าพ่อแม่คนไหน ก็อยากให้ลูกเป็นเด็กดี แข็งแรงทั้งกายใจทั้งนั้น ใช่มั้ยหล่ะคะ
วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก
Inspire Now ! : สถาบันครอบครัวและพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นปัจจัยที่สำคัญสุดในการฟูมฟักเลี้ยงดูคนๆ หนึ่งให้เติบโตมาอย่างดีได้ ถ้าเด็กๆ ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ได้รับความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่ ได้รับการดูแลเอาใจใส่ มีวิธีการเลี้ยงเหมาะสมและมีความสมดุล ไม่ตึงเกินไป ไปหย่อนเกินไป มีอิสระ เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ในขณะเดียวกันก็อยู่ในกฏระเบียบที่สังคมกำหนดขึ้น เด็กๆ ก็จะมีความมั่นใจในตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง เคารพในตนเองและเคารพในผู้อื่น และเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคมได้ |
---|
DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันเลี้ยงลูกได้ดีขึ้นใช่ไหม ? การเป็นพ่อแม่นั้นไม่ง่าย และลูกจะเป็นแบบไหนก็เป็นผลจากการเลี้ยงดูของเรา ใครมีวิธีสอนลูกยังไง เป็นพ่อแม่สไตล์ไหน มาคอมเมนต์แชร์กันได้นะคะ ♡