รับพลังตั้งแต่ต้นปีไปกับ “โค้ชอั้ม” นักธุรกิจสาวเก่งที่ผันตัวเป็นโค้ชสอน IQ Option

GUEST : คุณจรีลักษณ์ จันทร์สุวรรณ (อั้ม) นักธุรกิจ / โค้ชสอนอ่านกราฟการลงทุน

คงไม่ช้าไปที่จะกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่นะคะทุกคน เราชวนมาเริ่มนึกถึง เป้าหมายในชีวิต มีอะไรบ้างกันตั้งแต่ต้นปีใหม่กับเรื่องราวใหม่ๆ ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ นั่นก็คือสินทรัพย์ดิจิตอล อย่างคริปโตเคอเรนซี่ ในอีกมุมมองนึง กับผู้หญิงเก่งอย่าง คุณอั้ม จรีลักษณ์ จันทร์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ Stardom ASIA Co.,Ltd และ Dr.Reborn Laboratory Co.,Ltd ปัจจุบันเธอยังเปิดคอร์สสอน IQ Option by Coach AUM ซึ่งเป็นการทำกำไรจากอ่านกราฟที่นักลงทุนทั่วโลกเทรดคริปโตเคอเรนซี และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ สำหรับมือใหม่อีกด้วย ถ้าคุณกำลังสนใจที่อยากจะเรียนรู้หรือเป็นนักลงทุนสกุลเงินดิจิทัลดูบ้าง ก็อยากให้ติดตามอ่านเรื่องราวชีวิตของคุณอั้ม เพื่อเป็นแนวทาง และสร้างพลังใจในการเริ่มต้นปีใหม่ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปด้วยกันนะคะ

• ช่วงเด็กและวัยเรียนของคุณอั้ม ในความทรงจำเป็นยังไงบ้าง ?

คุณอั้ม เล่าให้ฟังว่า มีพ่อรับราชการอยู่กรมป่าไม้ แม่เป็นคุณครูโรงเรียนประถมฯ บ้านเกิดอยู่ที่มหาสารคาม แต่พ่อกับแม่ก็ไปรับราชการอยู่ที่อุบลฯ ครอบครัวก็เลยย้ายมาอยู่ที่อุบลราชธานีกันหมด ด้วยความที่แม่เป็นคุณครู ก็ค่อนข้างจะเข้มงวดเรื่องเรียนมาก ประกอบกับเป็นลูกคนโต มีพี่น้องสามคน ครอบครัวก็จะคาดหวังกับเรามาก ที่จำได้แม่นก็คือ ต้องตื่นตีห้ามาอ่านหนังสือ ซึ่งห้องที่ใช้อ่านหนังสือจะอยู่ชั้นล่างของบ้านและตรงกับห้องนอนแม่ ที่จะคอยเงี่ยหูฟังว่าเราอ่านหนังสืออยู่หรือเปล่า ด้วยความเป็นเด็กและง่วงก็มีแอบขี้โกงบ้าง คือตาหลับอยู่แต่ก็ใช้มือเปิดหนังสือเพื่อให้แม่ได้ยินเสียงเหมือนเราเปิดอ่านอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ต้องบอกว่าสิ่งที่แม่เข้มงวดกับเรา มันมีส่วนให้เรารู้ว่า เป้าหมายในชีวิต มีอะไรบ้างและหล่อหลอมอยู่ในชีวิตเรามาจนทุกวันนี้

พอมาในช่วงมัธยมฯ เราก็ยังเดินตามกรอบของแม่ คือตั้งใจเรียน มีเรื่องของกีฬาที่เพิ่มเข้ามาบ้างแต่ก็ไม่ได้เก่งมาก ตอนนั้นก็รู้สึกแค่ว่ากิจกรรมอะไรก็ทำได้หมด เราเรียนรู้ได้หมด แต่อาจจะไม่ใช่ที่สุด นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้มาเป็นเราทุกวันนี้ คือ มี Skill เป็นเป็ด ทำอะไรได้หลายอย่าง มันก็เลยสามารถนำมาปรับใช้กับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ได้ดีมาก ส่วนเรื่องเรียนตอน ม.ปลายเราก็ไปสอบเข้าโรงเรียนสหฯ ประจำจังหวัด ตามค่านิยมก็ต้องเลือกเรียนแผนกวิทย์-คณิตฯ เพราะทุกคนต้องเรียนเป็นแพทย์เป็นวิศวะ แต่เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าชอบนิเทศศาสตร์ เพราะเราชอบการพูดในที่สาธารณะ ตอน ม.ปลายเคยเป็นเยาวชนยอดนักพูดด้วย ช่วงเอ็นทรานซ์ก็ตั้งเป้าเลือกคณะทางด้านสื่อสารมวลชน แล้วก็สังคมศาสตร์อยู่สองมหาวิทยาลัย แต่ก็เอ็นฯ ไม่ติด เสียใจมาก แล้วก็ไปสมัครสอบ 9 ราชภัฏ ซึ่งนิเทศศาสตร์ของสวนสุนันทาก็เป็นอันดับต้นๆ ผลสอบออกมาก็สอบติด ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจว่าจะสอบติดหรือไม่ ตั้งใจว่าจะไปเรียนรามปีนึง แล้วอ่านหนังสือเอ็นฯ ใหม่ ก็เลยไม่ได้บอกแม่ แต่ก็มีเหตุบังเอิญให้แม่รู้ แม่ก็ดีใจ ก็เลยได้เข้ามาเรียนนิเทศศาสตร์ที่สวนสุนันทา เทอมแรกก็ไม่สนใจอะไรเลย แต่พอเทอม 2 ก็เปลี่ยนความคิดใหม่ ดูว่าเป้าหมายชีวิตมีอะไรบ้าง เพราะเข้ามาเรียนแล้วจริงๆ อยู่กับเพื่อนก็สนุกดี วิชาที่เรียนก็ดี เราก็อุตส่าห์เสียเวลาเรียนตั้งหนึ่งเทอมแล้ว ที่สำคัญถ้าไปสอบใหม่แม่ก็ต้องมาซัพพอร์ตอีกปีนึงเพิ่มภาระให้แม่ เลยหันมาตั้งใจเรียน ทำให้ตัวเองแฮปปี้ทุกโมเมนต์ วิชาเรียนก็รู้สึกว่าง่ายมาก มันเป็นชีวิตที่ง่ายมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่ชอบ ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องทำกิจกรรม หรือโอกาสที่ได้ไปเล่นละครเวทีเรื่องมายา ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี จึงทำทุกอย่างเต็มที่มีความสุข ทุกวันนี้พอโตเป็นผู้ใหญ่และมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าเราตัดสินใจถูกแล้วที่เรียนต่อนิเทศศาสตร์ สวนสุนันทา

ข้อคิดที่ได้ในวัยเรียนก็คือ การตัดสินใจของเราอย่าทำอะไรที่ตามใจตัวเองมากเกินไป

อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ให้ดูข้อจำกัดและนึกถึงคนอื่น คิดถึงพ่อแม่ ครอบครัวหรือปัจจัยรอบด้านด้วย

• ช่วงอายุ 21-30 ปี ที่เข้าสู่วัยทำงาน และเป้าหมายในชีวิตมีอะไรบ้าง

ชีวิตเริ่มต้นตอนทำงานนี่ถือว่าเป็นช่วงที่สนุกและมันที่สุด จุดเริ่มต้น คือ ตอนปีสี่ที่สมัครฝึกงานกับบริษัทนึง เขียนคุณสมบัติของตัวเองลงไปว่า ชอบร้องเพลงมาก ชอบพบปะผู้คน ชอบสื่อสารกับคนแปลกหน้า เราเลยได้ไปฝึกงานที่บริษัทฯ ที่ทำค่ายเพลงลูกทุ่ง ก็ทำให้รู้ว่าการที่เขียนคุณสมบัติของตัวเองลงไปอย่างชัดเจน มันก็เป็นข้อดีเพราะทำให้ผู้ใหญ่รู้ว่าเราต้องการทำอะไร ตอนฝึกงานก็เลยได้ทำอะไรหลายอย่าง และบอกกับพี่ที่ฝึกงานว่า ให้ใช้หนูเหมือนกับเป็นพนักงานประจำได้เลยหนูอยากลองทำทุกอย่างด้วยความยินดีมากๆ และพอฝึกงานจบพี่ที่บริษัทก็รับเข้าทำงานต่อเลย ได้อยู่แผนกประชาสัมพันธ์ และดูแลศิลปิน

จากนั้นไม่นานก็เกิดฟองสบู่แตก บริษัทประสบปัญหา ตัวเราเองก็ต้องออกจากงาน แต่ก็ได้มีโอกาสไปทำฟรีแลนซ์เป็นพีอาร์ให้ศิลปินคนนั้นคนนี้อยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นก็มีแว้บเข้ามาในหัวว่าการเป็นพีอาร์พอทำงานจบก็ไม่ได้อะไรเพิ่ม ต้องยอมรับว่าตอนนั้นก็มีความทะเยอทะยานรู้ว่า เป้าหมายในชีวิต มีอะไรบ้างเราจึงมีการตั้งเป้าหมายชีวิต ในเรื่องของการทำงานที่ต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ต้องการความก้าวหน้า ทำให้คิดว่างานที่จะสร้างรายได้เพิ่มก็น่าจะเป็นงานเซลล์ หรือการขาย เพราะมันจะมีค่าคอมมิชชั่น ซึ่งตอนนั้นก็มีบริษัทฟิตเนสระดับโลกมาเปิดสาขาในไทย และก็มีทีมบริหารที่มาจากอเมริกา มีเพื่อนที่ทำงานที่นี่และรู้ว่าเค้าได้รายได้ดี แต่คุณสมบัติหลักๆ ก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ส่วนตัวเองภาษาไม่เก่งมากแต่รู้ตัวว่าเป็นคนกล้า เราก็ไม่อยากให้ข้อจำกัดเรื่องภาษามาจำกัดโอกาสของตัวเอง ก่อนไปสัมภาษณ์งานเลยอ่านหนังสือสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษและเน้นทำความเข้าใจคำถาม ตอนนั้นคำถามสัมภาษณ์อะไรที่เกี่ยวข้องกับงาน ก็คือสามารถตอบได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะฟังไม่รู้เรื่องทุกคำ แต่ถ้ามีคำใกล้เคียงที่อ่านมาก็จะตอบได้ แล้วมีคำถามหนึ่งถามว่าทำไมบริษัทถึงจะต้องเลือกคุณมาทำงาน เราก็ตอบไปว่า ฉันรู้ว่าทุกคนที่มาสัมภาษณ์เก่ง มีความสามารถที่จะมาทำงานที่นี่ แต่ฉันมองว่าตัวฉันเองนั้นเพอร์เฟกต์ที่สุด ที่จะทำงานที่นี่ ผู้บริหารที่สัมภาษณ์อยู่ก็บอกทันทีว่า Well done คุณได้งานนี้ คิดดูว่าจากพีอาร์บริษัทศิลปินลูกทุ่งข้ามสายงานมาเป็นเซลล์บริษัทอินเตอร์ระดับโลกและเป็นการขายงานที่จะต้องพูดภาษาอังกฤษทั้งหมด เราก็ถือว่าตัวเองกล้ และรู้ชัดว่ามี เป้าหมายในชีวิต มีอะไรบ้างเราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นทุกวัน

เราทำงานที่นี่ด้วยความสนุกสนานเต็มที่และก็ได้ปลูกฝังตัวเองในเป็นนักขายอยู่สองปี เจ้านายเก่าที่เคยทำงานบริษัทค่ายเพลง ย้ายมาทำงานที่ BEC-TERO และเขาต้องฟอร์มทีมพีอาร์ ก็มาชวนให้ไปทำงานด้วย ตอนนั้นเราอยากทำงานด้านการขายมากกว่า เราก็นึกถึงเป้าหมายในชีวิตมีอะไรบ้าง เลยบอกพี่เขาว่าอยากไปอยู่แผนกขายหรือด้านการตลาดมากกว่า ปรากฏว่าที่นั่น ก็ยังไม่มี AE พี่ท่านนั้นเลยติดต่อให้ได้คุยกับไดเร็คเตอร์ของแผนกเซลล์ ทำให้เราได้งานใหม่และได้เป็น AE คนแรกของ BEC-TERO Entertainment ซึ่งเป็นงานที่สนุกมาก จากพีอาร์บริษัทเพลงลูกทุ่งมาต่อด้วยการเป็นเซลล์บริษัทฟิตเนสระดับโลก และมาเป็น AE ขายงานคอนเสิร์ตอีเวนต์ระดับโลก คือรู้สึกว่าเอากับชั้นสิ มีจุดเปลี่ยนชีวิตแบบพลิกผันตลอดเวลา และต้องบอกว่าที่นี่ให้อะไรกับตัวเองเยอะมาก งานที่ทำมันมีความสนุกหลากหลาย และตรงจริตเราเหลือเกิน ทำอยู่ 10 กว่าปีจนไต่เต้าเป็น เซลล์ไดเร็กเตอร์ และก็มีทีมที่ต้องดูแล 10 กว่าคน บริษัทก็เริ่มขยายมีเจ้านายที่มาใหม่มาดูแลแผนกแล้วก็มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน เราก็รู้สึกเองว่างานที่ทำเริ่มไม่สนุกแล้ว บวกกับด้วยความที่เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ก็คิดว่า เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เราจึงเป็นที่มาที่ทำให้เราตัดสินใจออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง คือ Stardom Asia Co.,Ltd

ตอนมาเปิดบริษัทของตัวเอง โอกาสแรกเราก็ได้มาทำมาร์เกตติ้งให้กับแบรนด์น้ำจิ้มไก่ของเพื่อน เราก็ทำแผนการตลาดอะไรต่ออะไรจนแบรนด์เขาสามารถขายให้กับเมืองนอกได้ แต่โอกาสที่มันต่อเนื่องกันมาคือเราได้จัดงานครัวคุณต๋อย เอ็กซ์โป ให้กับพี่ต๋อย ไตรภพ เราก็ได้ทำทุกอย่างตั้งแต่การทำการตลาด การเปิดตัว งานแถลงข่าว การขายสปอนเซอร์ชิปและก็เป็นสปอนเซอร์เองด้วย ด้วยการเอาโปรดักส์น้ำจิ้มไก่มาสนับสนุนงานครัวคุณต๋อยฯ ครั้งนั้น แล้วก็ใช้งานครัวคุณต๋อยฯ เปิดตัวโปรดักส์เราไปด้วยในคราวเดียวกัน ตอนนั้นก็ได้ใช้ทุกทักษะที่ได้เคยทำงานมา มาทำงานครั้งนั้น

หลังจากนั้นเราก็รับงานทุกงานไม่ว่าจะจัดงานแถลงข่าว เปิดตัวสินค้า หรือ เอ็กคลูซีฟอินเทอร์วิว หรือ การตลาด PR / CSR แคมเปญ  การซื้อสื่อโฆษณาต่างๆ ก็ทำหมด ตอนนี้โจทย์ในการทำงานมาจากลูกค้าที่ว่าจ้างหรือจ่ายเงิน คือลูกค้าว่าจ้างมา แล้วอยากทำอะไร เราก็ทำและซัพพอร์ตตามที่ลูกค้าต้องการ

หลังจากทำครัวคุณต๋อยฯ เราก็ได้รับโอกาสจากบีอีซีเทโร ให้จัดงานประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2018-2019  พอปี 2020 ก็เริ่มเข้าสู่ภาวะเรื่องของโควิดเรื่องของปัญหาอะไรต่างๆ ก็เลยทำให้เป็นที่มาที่ไปที่คิดจะหาสินค้ามาขายออนไลน์ จากที่ทำเกี่ยวกับนางงามมา ก็เลยคิดจะทำพวกเครื่องสำอาง ลิปสติก เซรั่ม แป้ง หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงาม เพราะเรามีกลุ่มแฟนนางงาม เราก็เลยมองว่ามันน่าจะเวิร์ค

• มาเริ่มต้นเข้าสู่การลงทุน การเทรดสกุลเงินดิจิตอลและคริปโตฯ ได้ยังไง ?

จากสถานการณ์โควิด ทุกอย่างมีการชะงักหรือชะลอตัว รวมถึงงานและบริษัทของเราด้วย แต่เราก็ต้องอยู่ให้ได้ ปัญหาระยะยาว คือ หลายๆ ธุรกิจที่เราเริ่มมา มันมีทุนที่จมอยู่เยอะพอสมควร เราจึงต้องหาโอกาสใหม่ๆ เพื่ออยู่รอดให้ได้ เริ่มจากช่วงกลางปีที่ผ่านมา น้องที่สนิทกันพูดคุยกันเรื่องการเทรดคริปโตฯ เราก็เข้าไปศึกษาดู ซึ่งหลายคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่า คริปโตฯ มีมานานพอสมควรแล้ว โดยมีบิตคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกที่เกิดขึ้นในโลกเรามาเมื่อประมาณปี 2009 และคริปโตเคอเรนซีเนี่ยก็เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบหนึ่ง บางคนเรียกว่าเป็นสกุลเงินในอนาคต หรือเงินทางเลือก และเงินเสมือน ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัล ที่กำลังมาแรงและเป็นที่สนใจของใครหลายคน แต่คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) เป็นสกุลเงินดิจิทัลแบบที่ต้องมีการเข้ารหัส  เพื่อการป้องกันและยืนยันธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน และสะสม ซึ่งธุรกรรมต่างๆ เหล่านี้จะทำผ่านระบบที่เรียกว่า ระบบที่เรียกว่า “Blockchain” (บล็อกเชน) ที่จะช่วยบันทึกทุกกิจกรรม

ตอนนั้นเราก็ลองเข้าไปลงทุนเทรด มันก็ได้แค่ประมาณนึง คือ ซื้อตอนราคาถูก ขายตอนราคาแพงขึ้น แต่ถามว่าเราจะรู้เมื่อไหร่ ว่าราคามันจะขึ้น คือราคาที่เราซื้อมันถูกจริงหรือเปล่า มันจะลงไปกว่านี้อีกไหม แม้เราจะหาข้อมูลเยอะขนาดไหน ศึกษาข้อมูลเยอะแค่ไหนมันก็ไม่มีข้อมูลให้คาดเดาได้จริงเลย เราลองเทรดอยู่เดือนกว่าๆ ก็ไปเห็นโพส FB ของหลานชายเพื่อนสนิท เค้าพูดถึงการทำกำไรใน IQ Option หลังจากเห็นหลานชายเพื่อนโพส เราก็เลยติดต่อขอไปเรียนรู้

IQ Option เป็นโบรกเกอร์ที่มีแอพเทรดเป็นของตัวเอง โดยอิงกับกราฟหุ้นเปิดตัวตั้งแต่ปี 2014 และจดทะเบียนภายใต้กฎขององค์กรควบคุมโบรกเกอร์แห่งยุโรป Cysec หมายเลขจดทะเบียน ของ IQ option คือ 247/14, IQ Option สามารถเทรดได้ทั้ง Cryopto, Forex , Commodities ฯลฯ สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ อีกมากมายและ IQ Option ยังมีบัญชีฝึกหัด เพื่อให้เราทดลองใช้และศึกษารูปแบบในระบบสาธิตก่อน และบัญชีจริง หรือ VIP เมื่อเราฝึกจนมั่นใจอยากซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน เรียนรู้การเทรดเต็มรูปแบบ โดยสมัครด้วยอีเมล และกรอกรายละเอียดต่างๆ ปัจจุบัน IQ Option มีเมนูภาษาไทย ให้ได้ใช้งานเพื่อความสะดวกด้วย

ก็เลยได้รู้ว่ามันมีการเทรดสกุลเงินดิจิทัลแบบนี้ และเราก็สามารถกำหนดหรือทำรายได้ต่อวันตามที่ตั้งใจได้เลย โดยที่เราต้องมีหลักการ มีสูตรในการเข้าเทรดอะไรแบบนี้ แต่ไม่ใช่เอาเงินเราไปลงทุนในการซื้อเหรียญนะ มันเป็นการอ่านพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุน ที่มีการขึ้นๆลงๆ มันจะเกิดเป็นกราฟ แล้วเราศึกษาสูตรเพื่ออ่านค่ากราฟตรงนั้น แล้วก็มาทำกำไรตรงนั้น เพราะฉะนั้นคนที่สนใจจึงต้องมาเรียนรู้สูตร เรามองว่าอันนี้ต่างหากที่ตอบโจทย์เรา เพราะเราสามารถที่จะคอนโทรล แต่อย่างที่รู้กันว่าทุกการลงทุนมันมีความเสี่ยง ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ ก็ลองเข้าไปดูใน FB เรา และศึกษาให้ดีๆ ก่อน เรามองว่าโดยระยะยาวมันเวิร์คนะ หรือไม่ต้องระยะยาวก็ได้ เอาแค่ในช่วงโควิดนี้เราก็สามารถรอดได้ นี่คือคำตอบที่เราให้กับตัวเองได้ตอนนี้

• จากนักลงทุนมือใหม่ ก้าวสู่การเป็นโค้ชได้ยังไง ? 

ช่วงแรกเราก็เป็นนักเทรดด้วยการเอาเงินของตัวเองเข้าไปลงทุน เทรดมาเรื่อยๆ และเคยขาดทุน และก็พลิกมาทำกำไรได้ จนคิดทฤษฎีต่างๆออกมาเป็นสูตรในการที่จะบอกหรือสอนต่อคนอื่น และสามารถส่งต่อความรู้ให้กับทุกคนได้ คือต้องบอกว่าไอ้สูตรที่ได้ออกมานี่ถ้าใครได้มาเรียน ก็จะรู้ว่ามันง่าย บางคนที่มาเรียนถึงกับบอกว่าถ้ามีสูตรแบบนี้พี่อั้มก็น่าจะรวยไปตั้งนานแล้วนะ เราก็อยากจะบอกว่าถ้าฉันรู้สูตรนี้ตั้งแต่แรกฉันก็คงไม่ขาดทุน และรวยไปแล้วจริงๆ แต่กว่าจะได้สูตรนี้มา เราก็ต้องเสียเงินกับการลงทุนและขาดทุนไปก่อนแล้วเป็นหลักล้าน ตรงนี้ต่างหากที่เราอยากจะมาถ่ายทอดให้กับคนที่อยากหาโอกาสหรือเปิดโอกาสให้กับตัวเองสร้างรายได้สู้กับโควิดอีกทางนึง

สำหรับจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเป็นโค้ชสอนเรื่องการเทรด คือก็โพสใน FB ตัวเอง บอกไปว่าถ้ามีเพื่อนคนไหนสนใจอยากรู้ก็มาหาเราได้เลย ปรากฎว่าก็มากัน 20 คน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เป็นหลักสูตรอะไร เอาประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง แบ่งปันกันมากกว่า เสร็จแล้วใน 20 คนเนี่ยก็จะมีอยู่ 4-5คน ที่ยังติดต่อสื่อสารกับเราอยู่ตลอด และก็จะมาหาเราที่ออฟฟิศอยู่บ่อยๆ เพื่อให้เรานำเทรด แล้วทุกคนก็จะบอกว่ามาเทรดกับเราทีไรก็จะได้กำไรกลับไปทุกที แล้วมีอยู่ครั้งนึง 4-5 คนเนี่ยมาเทรดและได้กำไรเป็นหลักแสนทุกคน จนกระทั่งมี 2 ใน 5 คนเขาลองไปเปิดคอร์สสอนคนอื่น เราก็ถามไปว่าสอนอะไรอย่างไร เค้าก็บอกว่าสอนอย่างที่เรียนกับเรามานั่นแหละ เราก็เลยคิดว่า ถ้าเขาเรียนกับเราแล้วเวิร์คและสอนคนอื่นได้ เราเองก็น่าจะสอนคนอื่นได้เช่นเดียวกัน จึงเป็นที่มาให้เราเปิดคอร์สสอน IQ Option By Coach Aum นี่แหล่ะ เราก็คิดเป็นโปรแกรม เป็นหลักสูตรขึ้นมาเลย แล้วเราก็โพสใน FB ว่าจะเปิดสอนแบบนี้ๆ นะปรากฎว่า สองคนแรกที่ติดต่อเข้ามาจะขอเรียนกับเราคือสองคนที่ไม่เคยพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเราเลยใน FB แสดงว่าเค้ามอนิเตอร์เราอยู่ตลอด คุยรายละเอียดเสร็จโอนเงินจองคิวเราเลย เราก็ดีใจมาก พอได้สอนคนแรกก็มีคนต่อๆไป พอมันเกิดผลงาน ลูกศิษย์เราสามารถเทรดทำกำไรได้จริง มากบ้างน้อยบ้าง เราก็อัพเดทสื่อสารเล่าให้ฟังใน FB ของเรา ก็ทำให้มีคนติดต่อเข้ามาเรียนเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

มีน้องคนนึงเค้าเป็นนักจัดดอกไม้จักรวาล เขาเป็นคนทำช่อดอกไม้ให้กับนางงามในเวทีใหญ่ต่างๆมากมาย ชื่อน้องโฟลว์  ทักมาอยากเรียนกับเรา แต่ด้วยความที่น้องเป็นศิลปินไม่ถนัดเรื่องตัวเลขหรือเทคโนโลยีอะไรเลย เราต้องอธิบายเยอะมากและก็ต้องจับมือเทรดเลย ระหว่างสอนก็แอบห่วงๆนะว่าจะรอดมั้ย ไปเทรดเองจะขาดทุนมั้ย ปรากฏว่าเรียนจบไปเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ น้องเค้าลองไปนั่งเทรดเองทำอะไรเอง เอาจากที่เราสอน และไลน์มาหา ทบทวนสูตร คุยกันตลอดเวลาว่าทำแบบนี้แบบนั้นใช่ไหมพี่อั้ม รู้ไหมว่าน้องเค้าสามารถขึ้นเป็นนักเทรดมือใหม่อันดับสองของประเทศไทย  อันดับเก้าของโลก และเมื่อไม่นานเขาก็โพสว่า กำไรที่เขาทำได้ตลอดเดือนพ.ย. ก็คือ ประมาณ 5 แสนกว่าบาท โอ้โหเราภูมิใจมาก ดีใจมากจริงๆ

• คิดว่าเทรนด์การลงทุนสกุลเงินดิจิทัลหรือ คริปโตฯ  กับโลกปัจจุบันและอนาคต ในมุมมองของคุณอั้มเป็นอย่างไร

เราอยากบอกกับทุกคนว่าการลงทุนเงินดิจิตอล คริปโตเคอเรนซีหรือการเทรดผ่านโปรกเกอร์แอพพลิเคชั่น ที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ มันไม่ใช่เทรนด์ มันไม่ใช่เรื่องใหม่ มันไม่ใช่ New แต่มันเป็น Now คือ จงลงมือทำ เรียนรู้ ศึกษามันเดี๋ยวนี้ อยู่กับมันเดี๋ยวนี้ อย่าไปรอ รอไม่ได้ อนาคตไม่รู้ แต่มันอยู่กับเราแล้วตอนนี้ และสิ่งที่มันอยู่กับเราแล้วตอนนี้ มันมี Circle ของมันที่ค่อนข้างยาว ดังนั้นอยากให้ทุกคนเปิดใจศึกษามันซะ เรียนรู้มันซะ อยู่กับมันซะ เพราะมันอยู่กับเราแล้วเรียบร้อย และไม่อยากเกินจะเรียนรู้ เพียงแค่เปิดใจ

สำหรับคนที่ยังไม่กล้ากับการลงทุนแนวนี้ คุณต้องคิดใหม่ เปิดโอกาสให้กับสิ่งใหม่เหล่านี้ เราจะต้องเปิดใจเรียนรู้การลงทุน หรือศึกษามันเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองเพิ่มขึ้นอีกช่องทางนึง ลองปรับมายด์เซทตัวเองให้มีความมั่นคง มั่งคั่งเกิดขึ้น ถ้ามายด์เซทไม่เปลี่ยน เราก็อาจจะต้องย่ำอยู่กับที่เดิมๆ ส่วนตัวแล้วมองว่าอนาคตของเรื่องของการลงทุนและการเทรดสกุลเงินดิจิทัลนั้นค่อนข้างสดใส ยังไปได้อีกระยะยาว

• เดินทางมาถึงตอนนี้แล้ว คิดว่าตัวเองเป็นยังไงบ้าง ? มีอะไรอยากจะพูดกับตัวเองไหม ? (ภูมิใจในตัวเองไหม ? / ตัวเราเองพัฒนาขึ้นกว่าเดิมเยอะขึ้นหรือเปล่า ? / อยากขอบคุณตัวเองมั้ย ? )

เราเป็นคนที่ชอบประเมินตัวเองก่อนว่า เรามีจุดเด่นจุดด้อยอะไร ถ้ารู้จุดด้อยตัวเองก็ไปพัฒนามันซะ พร้อมจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ส่วนจุดเด่นเราก็จะเสริมมันไปให้เต็มที่ เรามองเห็นภาพตัวเองค่อนข้างชัดมาตลอด เรารู้ว่าเรามีเป้าหมายในชีวิตอะไรบ้าง เราก็เดินบ้างวิ่งบ้างเพื่อให้ถึงเป้าหมายของเรา

เราคิดมาตลอดว่าเรายังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ที่ผ่านมาคือทำแต่ละงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จบไป ไม่ถือเป็นความสำเร็จ พอคิดแบบนี้เราก็เลยไม่หยุดทำ ไม่หยุดคิด ไม่หยุดเรียนรู้และมีการตั้งเป้าหมายชีวิตใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะแต่ละครั้งที่เราทำโปรเจคท์อะไรใหม่ๆ คิดหรือลงทำเรื่องใหม่ๆ มันจะทำให้เราได้คิด ได้ใช้สมอง เหมือนได้ชาร์ตแบตเพิ่มพลังให้กับตัวเองตลอด  ได้ฝึกฝนตัวเอง มันเป็นความสุขในการทำงานและการใช้ชีวิตของเราอย่างหนึ่ง

Inspire Now ! : ปีใหม่แล้วทุกคนลองมาตั้งเป้าหมายชีวิตใหม่ๆ และเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างคริปโตเคอเรนซี หรือ สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ พร้อมกับลองใช้แนวคิดของคุณอั้ม ที่บอกว่า ถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จ ก็จงอย่าหยุดคิด หยุดทำ หรืออย่าหยุดเรียนรู้ เพราะวันนึงความสุข ความสำเร็จอาจจะเป็นของทุกคนได้อย่างแน่นอนค่ะ

DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีกว่าใช่ไหม ? เรื่องราวของคุณอั้มให้แรงบันดาลใจอะไรกับคุณบ้าง ลองมาแบ่งปันมุมมองการลงทุน หรือการตั้งเป้าหมายกันได้เลยนะคะ ♡