สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

Interview : สายมูเตลูคืออะไร ? ชวนคุณการะเกต์ พยากรณ์ คุยเรื่อง Mindfulness กับสายมูกัน !

Guest : คุณการะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ นักพยากรณ์ เจ้าของเพจ การะเกต์พยากรณ์ Astrologer and Tarot Reader.

มีใครเป็นสายมูบ้างคะ ? เชื่อว่าไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินผ่านหู หรือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการมูกันมาบ้าง แต่สายมู จริงๆ แล้วคืออะไร วันนี้ DIYINSPIRENOW ได้รับโอกาสจาก คุณการะเกต์ นักพยากรณ์ นักเขียน และผู้คร่ำหวอดในวงการโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ มาร่วมพูดคุยกันผ่าน Google Meet ในประเด็น Mindfulness กับ สายมู ตามมาอ่านกันค่ะว่าจริงๆ แล้ว สายมูเตลูคืออะไร ? เราจะรับคำพยากรณ์อย่างมีสติได้อย่างไร ? สติ คือ อะไร ? เราได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ชีวิตของคุณการะเกต์กันบ้าง แอบกระซิบเลยว่านอกจากความรู้ทางโหราศาสตร์ที่แน่นปึ๊กของคุณการะเกต์ แล้ว Guest ของเรายังได้แบ่งปันความรู้มากมายหลากหลายแขนง โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนาให้เราได้คิดตามกันอีกด้วย เรื่องราวจะเป็นยังไง ตามมาอ่านกันค่ะ

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

1. ช่วยแนะนำตัวเองสั้นๆ ให้ผู้อ่านรู้จัก คุณการะเกต์ ในปัจจุบันหน่อยค่ะ

“หลักๆ เป็นนักพยากรณ์ งานมี 2 ส่วน คือนักพยากรณ์ พี่ก็มีดูดวงส่วนตัว คนก็จะจองคิวออนไลน์ แล้วก็มีคอนเทนต์ดวงต่างๆ ลงตามเว็บไซต์ต่างๆ แล้วก็อีกอันนึงที่ตอนนี้ทำก็คือ พี่ทำร้านสิริเมืองพร้าว ที่ อ.พร้าว เป็นโครงการขนาดเล็ก มีห้องสมุด ร้านอาหาร หลักๆ ก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ”

2. คุณการะเกต์ในช่วงวัยเด็ก (10 ปี แรก) เป็นยังไง โตมาในครอบครัวแบบไหน ความฝันต่างๆ ในวัยเด็กเป็นอย่างไร ?

“ตอนเด็กอยู่ในหมู่บ้านที่เป็นชนบท พ่อ อยู่ในสายงานพิธีกรรม โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ คือทางนี้เค้าจะเรียกว่า ปู่จ๋าน หรืออาจารย์ อยู่ในศาสนพิธี หรือเป็นหมอดู ดูดวง เป็นอาจารย์สายไสยศาสตร์ ทำยันต์ ทำเทียน ส่วนแม่พี่จะเป็นแม่บ้าน ชีวิตในบ้านนอกก็คือจะอยู่กับการปลูกพืชผักสมุนไพร ทำการเกษตร แต่ว่าพี่จะไม่ได้อยู่กับครอบครัวที่ทำนาโดยตรง ก็คือพ่อก็จะทำงานของพ่อ ส่วนแม่ก็จะซัพพอร์ทพ่อในระดับนึง ก็คือช่วยงานเค้า พี่จะโตมาในวัฒนธรรมของชุมชนที่มีเรื่องของจิตวิญญาณ การใช้พืชสมุนไพร แพทย์แผนไทย ล้านนา คือพ่อพี่เค้าทำงานด้านนี้ ตอนเด็กพี่ก็ไม่ได้มองว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งน่าสนใจนะ มันเหมือนอยู่ในวิถีชีวิตของเรา มันเคยชินว่าเรื่องผี เป็นเรื่องปกติในชีวิตของเรา พญานาคอะไรแบบนี้ เป็นสิ่งปกติในชีวิต เรามีความเชื่อในสิ่งพวกนี้ ตอนเด็กพี่ชอบศิลปะ ถ้าไม่ถึงสิบขวบตอนนั้นนะ พี่ก็ฝันอยากเป็นนักวาดการ์ตูน แล้วก็โตมาอีกหน่อยก็อยากเป็นนักเขียน คือพี่เป็นเด็กชอบอ่านหนังสือ แล้วพ่อแม่พี่เนี่ยก็จะชอบอ่านหนังสือมาก คือเราอยู่ในครอบครัวที่รักการอ่านก็ว่าได้ งานที่ต้องทำมันก็จะเป็นเรื่องตำรับตำราของการเขียนการอ่าน เพราะฉะนั้นพี่โตมาในความรู้สึกที่จะต้องอยู่กับพิธีกรรม มันอยู่ในชีวิต เราอยู่กับสิ่งพวกนี้ พี่อยากเป็นนักวาด นักเขียน ไม่ได้อยากจะมาเป็นหมอดู”

พี่อ่านแนวไหนบ้างคะ ?

“ถ้าตอนเด็ก พี่อ่านทุกอย่าง แต่สมัยนั้นจะเป็นนิยายภาพไทยเล่มละบาท ชาดก วรรณคดี ตอนเด็กพี่อ่านรามเกียรติ์ อิเหนา ขุนช้างขุนแผน เท่าที่มีในหมู่บ้าน”

Image Not Found

หนังสือนิทานชาดก 50 เรื่อง สอนลูกให้เป็นคนดี

แล้วแนวการ์ตูนที่อยากวาดเป็นแบบไหนคะ ?

“พี่อยากแต่งภาพเป็นเรื่อง เป็นการ์ตูนช่อง เหมือนนิยายเล่มละบาท และได้ลอง พี่อยู่โรงเรียนจะชอบวาด ทำหนังสือทำมือ วาดรูปให้เพื่อน จากกระดาษสมุด แล้วเย็บรวมกัน วาดปกเอง ทำการ์ตูนเอง”

3. ช่วยเล่าชีวิตในช่วงวัยรุ่นว่าเป็นยังไงบ้าง การศึกษา ประสบการณ์ วิธีคิด หรือมี point ไหนมั้ยที่จุดประการให้เราทำอาชีพนี้ในตอนนี้ ?

“ทีนี้พี่ต้องบอกก่อนว่าพี่เป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนในระบบนะ คือช่วงชีวิตวัยรุ่นของพี่ เมื่อตะกี้เราพูดกันจนถึงสิบขวบใช่มั้ย พอพี่อายุประมาณ 12-13 ปี พี่ก็ออกจากระบบการศึกษา พี่น่ะ พี่ไม่ได้เรียนโรงเรียนมัธยมแบบปกติ พี่น่ะ เป็นเด็กที่เรียนโรงเรียนนอกระบบมาโดยตลอด ก็คือเรียนด้วยตัวเอง ถึงไปเรียน กศน. มศธ. อะไรแบบนี้ พี่จะมีชีวิตเป็นภาคการทำงาน ภาคของการใช้แรงงาน เหมือนแรงงานเด็ก แรงงานวัยรุ่น แรงงานรับจ้างต่างๆ หลายอย่างค่ะ งานที่ทำ งานที่ผ่านมาก็จะมีตั้งแต่ งานเผาของ งานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก งานคนใช้ตามบ้าน งานที่ไปอยู่โรงงาน ในชีวิตต่างๆ เหล่านี้ สมัยก่อนพี่ก็จะโดนทำบ่อย เพราะเหมือนเป็นแรงงานที่ข้ามถิ่นต้องย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ ทำให้พี่ไม่ได้ใช้ชีวิตที่เท่าเขา แล้วก็จะมีช่วงโยกย้าย อายุพี่ประมาณ 12-18 ปี จะเป็นช่วงนี้เป็นแรงงานรับจ้างย้ายถิ่นเร่ร่อน แต่ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น สิ่งที่พี่คิดอยู่เสมอคือ ความรู้สึกชอบอ่านหนังสือ อยากเป็นนักเขียน ความรู้สึกที่เราชอบงานศิลปะ การวาดภาพก็ยังมีอยู่ จนเวลาต่อมาเนี่ย พี่ก็ไปเรียนต่อ ก็คือเรียนนอกระบบ นั่งทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ซึ่งสิ่งที่คิดอยู่เสมอก็คือพี่มองว่า การอ่านการเขียน งานศิลปวรรณกรรมมันมีความหมายกับตัวพี่ และพี่คิดว่าทำให้เราได้เข้าใจโลกหลายอย่างโดยที่ แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่จากระบบการศึกษาของสถาบันโดยตรงนะคะ แต่ว่าการเรียนรู้มันเกิดได้ทุกที่ มันอยู่ในทุกที่ทุกเวลา และการเรียนรู้ก็ไม่มีวันจบสิ้น สำหรับพี่นะ แล้วพี่ก็อยู่กับคนแวดวงสาขาอาชีพหลากหลายมาก พี่อยู่กับเพื่อนพี่ เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นคนโรงงานใช้แรงงานทั่วไป เพื่อนที่ไปทำงานโรงงานด้วยกัน มีเพื่อนที่ไปรับจ้างเกี่ยวข้าวด้วยกัน พี่อยู่ในชีวิตที่ตั้งแต่สมัยทำงานรับจ้างภาคเกษตร รายได้วันละ 16 บาท วันละ 25 บาท ไปจนถึงรายได้เดือนละ 600 บาท คือพี่จะผ่านชีวิตแบบนี้มา จนกระทั่งประมาณ 20 กว่า ชีวิตพี่ก็ข้ามฝั่งไปฝั่งไปสู่คนทำหนังสือ”

ฟังมาถึงตรงนี้แล้ว คิดเหมือนกันมั้ยคะว่า เพราะด้วยนิสัยการรักการอ่าน การฝึกเขียน ฝึกวาดด้วยความชอบ การมีเป้าหมายชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงประสบการณ์ชีวิตการเรียนรู้ การทำงานที่หลากหลาย และการได้พบปะผู้คนมากมาย จึงเกิดการเชื่อมโยงและนำพาให้ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้

“ได้ไปทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการนิตยสารวัยหวาน สมัยก่อนเป็นนิตยสารที่เป็นชื่อเสียงเนอะ เป็นแบบหนังสือเล่มเก่า สมัยนี้ก็จะเป็น the boy เธอกับฉัน พี่ก็ได้เข้าไปตรงกองบรรณาธิการ การทำสื่อ มันก็จะเป็นชีวิตอีกด้านนึง แล้วจากนั้นมาต่อมาพี่ก็ได้ไปทำงานสำนักพิมพ์ ก็เป็นบรรณาธิการบริหาร และจนตอนหลังก็ได้กลับมาทำที่นิตยสารวัยหวานอีกครั้งนึง ก็ตำแหน่งบรรณาธิการ เพราะงั้น ชีวิตมันข้ามฝั่ง แล้วพี่คิดว่าความฝันของพี่สมัยก่อนคือการอยากเป็นนักเขียน อยากเป็นคนทำงานศิลปะ แล้วพี่ก็ทำในสิ่งเหล่านั้นอยู่ก็คือการเป็นนักเขียน การเป็นคนทำหนังสือ นั่นเป็นความฝันของพี่ในวัยเยาว์”

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

นอกจากนักเขียนแล้ว อีกหนึ่งความฝันในวัย 17 – 18 ของคุณการะเกต์ มาจากการอ่านหนังสือ “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ของ Masanobu Fukuoka เกษตรกร และนักปราชญ์ชาวญี่ปุ่นที่ได้รับการยกย่องในเรื่องการทำการเกษตรแบบธรรมชาติ จึงทำให้อยากทำเกษตรกรรมธรรมชาติ เพาะปลูก และมีผลผลิตที่ปลอดภัย ไร้สารเคมี และหลังจากที่เธอได้ทำงานหนังสือตามฝันมาสักระยะ ก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำงานส่วนตัวในแวดวงหนังสือ ทำงานกราฟิก วาดภาพประกอบ ทำงานดีไซน์ต่างๆ เป็นคอลัมนิสต์ในมติชนสุดสัปดาห์ จนกระทั่งออกหนังสือของตัวเอง

Image Not Found

ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ทางออกของเกษตรกรรมและอารยธรรมมนุษย์ The one-straw Revolution

“แล้วพี่ก็ออกหนังสือเรื่องไพ่ราศี ที่พี่เขียนเองจากการศึกษาโหราศาสตร์ไทย ส่วนนึงส่วนจากตัวเอง จากประสบการณ์ต่างๆ ประมาณปี 40 อ่ะค่ะ 41 – 42 ประมาณนั้น พี่ก็ออกหนังสือ แต่ตอนนั้นพี่ใช้นามปากกาอื่น พยากรณ์ก็เริ่มมาจากตรงนี้แล้วก็ยาวมา จริงๆ แล้วพี่ไม่ได้คิดว่าพี่จะมาเป็นนักพยากรณ์ แต่พี่อ่ะไปสายการทำสื่อ มีความหมกมุ่นในเรื่องของหนังสือ วรรณกรรม ศิลปะ แล้วก็อีกอันคือเรื่องของการเกษตรอย่างที่บอก แต่งานพยากรณ์พอวันนึงพี่เกิดความสนใจขึ้นมา พี่อยากรู้ สายมูเตลูคืออะไร เพราะว่าอย่างที่บอก ชีวิตพี่ไม่ได้เรียนหนังสือ เราต้องทำงานนะ เราต้องอยู่ในชีวิตที่ลำบากต่ำสุดมา พี่ก็อยากรู้ว่าดวงชะตาเป็นยังไง คือชีวิตคนเราพวกนี้มันอยู่ในดวงชะตาด้วยมั้ย ปกติพี่จะไม่เชื่อง่ายๆนะ จนกว่าเราจะคิดกับมันหรือพิสูจน์กับมัน แล้วพี่ก็คิดว่ามันมีเรื่องของเวรกรรมมั้ย ตั้งแต่เกิดมา เราเป็นคนที่จะต้องลำบากไปตลอดมั้ย หรือถ้าเรา พี่เกิดในสังคมชนบทเนอะ แล้วก็ความเลื่อมล้ำสูงมาก และพี่ตระหนักเรื่องนี้ตั้งแต่พี่ยังเด็ก เพราะว่ามันเป็นชีวืตคนไง แต่วันนึงพี่ข้ามสายไปอยู่ในสถานะอื่นอย่างเราเป็นสื่อ หรือว่าพี่เคยไปทำงานอยู่ในบ้านผู้พิพากษาอย่างเงี้ย ซึ่งเราจะอยู่ในความเหลื่อมล้ำเราจะเห็นกลุ่มที่ ชีวิตไม่เป็นแบบเดียวกัน ทำให้เราเกิดคำถาม มันเปลี่ยนได้มั้ย

เราสามารถที่จะไม่เชื่อพรมลิขิตได้มั้ย หรือว่าเราถูกกำหนดมาแบบนี้จริงหรือ  ก็นำมาซึ่งโหราศาสตร์ มีความน่าสนใจตรงที่เขาเป็นแผนที่ชีวิตให้เราได้ระดับนึง แล้วพี่ก็สนใจด้วยตัวเอง พี่ก็จะดูจากดวงตัวเอง ดูชีวิตเราและก็เทียบละศึกษาด้วยชีวิตเราเอง จนอยู่ในจุดที่พี่รู้สึกว่า เอ้ย มันโอเค โหราศาสตร์สามารถบอกเราได้มากกว่าที่เราคิด แต่ในขณะเดียวกัน มันเป็นแรงของสติปัญญาของการมีวิจารณญาณของการคิดกับมัน ไม่ใช่ว่า เราต้องเชื่อดวงทุกอย่าง และถึงที่สุด ในแผนที่นั้น เราควรจะมีเจตจำนง และเราต้องแยกให้ได้ด้วยว่า เราควรจะเชื่อทันที หรือเราควรจะรับฟังแล้วเอามาคิด แล้วพี่ต้องอ่านดวงตัวพี่เอง พี่ก็เห็นว่ามันท้าทายนะ โดยปกติ คนทั่วไปบอกพี่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่พี่จะมีชีวิตอยู่รอดมาได้แบบปกติดี เพราะว่าต้นทุนชีวิตเราต่ำ เราไม่ได้เรียนหนังสือ เราไม่ได้มีเหมือนครอบครัวของคนมีเงิน มีฐานะ พี่น่ะอยู่ในยุคที่แบบดูเป็นไปไม่ได้เลย แต่พี่คิดว่าถึงที่สุดแล้วอ่ะค่ะ มนุษย์สามารถข้ามพรมแดนต่างๆได้ และโหราศาสตร์อาจจะบอกเราใน แบ่งแผนที่ให้เรา เพื่อให้เราไปดู ก็เหมือนกับ สมมุติพี่ไปดู กรุงเทพฯ ไป เชียงใหม่ โหราศาสตร์อาจจะบอกเราว่า เราไปได้กี่ทาง มันมี รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน แล้วเราจะเจออะไร คือข้อมูลเบื้องต้น แต่เวลาที่เราออกเดินทางจริงมันอาจจะมี เหตุการณ์เฉพาะหน้า มันมีเรื่องไม่คาดฝัน มันมีสิ่งที่เราคอนโทรลไม่ได้ทั้งหมด เครื่องดีเลย์ขึ้นมา คือ ไม่ใช่จากเราโดยตรง แต่เราต้องมีเป้าหมายชัดเจน ว่าเราจะไปยังไง แล้วเมื่อเราไปถึงที่หมายแล้ว เราจะทำอะไรต่อ มันเป็นความตั้งมั่น และเจตจำนง”

ตอนทำงานนิตยสารเขียนแนวไหนบ้างคะ ?

“เขียนแนววัยรุ่น ที่ทำมาตลอดคือให้คำปรึกษา ปัญหาชีวิตของวัยรุ่นในยุคนั้น ฟีลแบบพี่อ้อย พี่ฉอดในยุคนี้ จะเขียนจดหมายเข้ามา แล้วพี่ก็จะเขียนตอบ เลือกเรื่องสั้น บทกวีมาลง สัมภาษณ์ดารานักร้อง ทำสกู๊ปต่างๆ”

ช่วยเล่าเพิ่มเติมหน่อยว่าพี่เข้าไปทำงานนิตยสารได้ยังไง ?

“พี่ชอบอ่านหนังสือ ก็จะมีเพนเฟรนด์ มีแวดวงการอ่านหนังสือ ก็จะเขียนจดหมายคุยกัน รักการอ่านเหมือนกัน แล้วพี่ก็จะทำจุลสารทำมือ สำหรับอ่านในแวดวงนั้น แล้วพี่ก็จัดงานการอ่านบทกวีกับชมรมวรรณศิลป์ มช. ในฐานะที่พี่ทำจุลสาร ก็ส่งเสริมการอ่าน การเขียน ทีนี้ก็มีเพื่อนชวนไปเที่ยวกรุงเทพฯ เพื่อนพี่ก็ทำงานในนิตยสาร แล้วก็ชวนไปช่วย ไปลองเขียนข่าว แล้วบรรณาธิการก็ชวนทำงานด้วย เพราะคงเห็นแววว่าหน่วยก้านดี เค้าว่าอยากทำงานกองบก. มั้ย พี่ก็เลยไม่ลังเล ทำเลย”

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

4. การเรียนโหราศาสตร์ เรียนจากตำราที่มีอยู่แล้ว หรือว่าศึกษาจากประสบการณ์ตัวเอง ?

“โหราศาสตร์มีหลักวิชา เริ่มต้นจากการมีตำรับตำราอยู่แล้ว คุณพ่อเป็นสายพยากรณ์ แล้วก็ตำราที่บ้านก็มี พี่ก็ซื้อเพิ่มด้วยความสนใจ อย่างอาจารย์พลูหลวง อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ เป็นศิลปินแห่งชาติสมัยก่อน เป็นสายศิลปะ ศิลปิน แล้วก็คุณยอดธง ทับทิวไม้ นามปากกาซิเซโร่ เค้าเป็นคนอยู่ในวงการนักหนังสือพิมพ์ หรืออาจารย์จรัญ พิกุล สมัยนี้ก็คือเป็นปรมจารย์สายโหราศาสตร์สากล ก็คือเป็นกลุ่มที่เขียนหนังสือกัน อย่างอาจารย์พลูหลวงเค้าเป็นศิลปินใช่มั้ย ก็สงสัยว่าเหตุใดเค้าใช้โหราศาสตร์กัน พี่ก็จะเริ่มด้วยการศึกษาตำราของอาจารย์เหล่านี้ค่ะ โหราศาสตร์มันไม่ใช่ดูดวงเฉยๆ มันมีทั้งบันทึกเรื่องของสังคม ประวัติศาตร์ การตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งพี่ก็ศึกษาจากตรงนี้ แต่พี่เป็นคนที่ไม่เชื่อตำราอย่างเดียว พี่ก็จะลองเอาหลักวิชามาปรับใช้ ทั้งในแง่ของตัวเอง การเก็บเคส หรืออย่างพี่ใช่ไพ่ทาโร่ต์ในช่วงแรกๆ มันก็มีสิ่งที่น่าสนใจ พี่ก็ดูให้คนอื่น แล้วก็จดบันทึก แล้วก็มาวิเคราะห์ พี่ก็เห็นว่ามันมีรายละเอียดที่ไม่ได้ตรงกับตำรา หรือในตำราบางครั้งเค้าก็ไม่ได้บอกทุกอย่าง มันจะมีเคล็ดลับหรืออาจจะซ่อนเอาไว้ มันก็มีการค้นพบ ทัศนคติมันเป็นค่านิยม  เป็นวิธีคิดของคนใช้วิชานั้น มันไม่ได้แปลว่าหมอดู เท่ากับหลักวิชา ก็เหมือนทุกวิชาของโลกนี้มันจะมีแกนกลางของมัน แต่อยู่ที่ว่าคนจะตีความกับมันยังไง

พี่เริ่มต้นด้วยการไม่ยึดติดกับหมอดูตัวบุคคล พี่ให้ความสนใจกับหลักวิชา แล้วพี่ถอดเทียบเลยนะว่า อาจารย์นี้เค้าเขียนแบบนี้ แล้วเวลาทำนายดวง พี่เทียบเคียงปฏิทินโหราศาสตร์ ปฏิทินไทย ปฏิทินสากล ระบบสุริยยาตร์เป็นยังไง ระบบนิรายนะ ถ้าในแง่ของตำรับตำราพวกนี้ใช้เงินเยอะมากเลยนะ พี่ก็ไปลงคอร์สเรียนดูไพ่ของฝรั่ง อยากรู้ว่าเค้าสอนยังไง เค้าแปลไทยมา แปลครบมั้ย พอเราไปซื้อฉบับแปลมา เราก็ไปหาว่าฉบับจริงมันเหมือนกันหรือเปล่า เค้าตีความเคลื่อนมั้ย ก็คือเรามองว่าทั้งหมดคือกระบวนการที่เราเรียนรู้กับมัน แล้วพี่อยู่กับพ่อมาเนี่ย พี่ก็เรียนรู้ว่าโหราศาสตร์ พยากรณ์มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตจิตใจคน เพราะงั้นเนี่ยเราพูดพล่อยๆ ไม่ได้ มันมีเส้นแบ่งบางอย่างคือเราจะต้องมีความเชื่อในมันด้วย คือเช่นถ้ามีพี่หลักวิชา แต่ไม่ได้มีความเชื่อ เราไปพูดกับคนอื่นเนี่ย เราเป็นมิจฉาชีพไปครึ่งทางแล้วนะเนี่ย เพราะมันเท่ากับเราไปขายในสิ่งที่เราไม่เชื่อไง เพราะงั้นถ้าพี่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของมันเลย แล้วเราไปทำนายคนซึ่งผิดหรือถูกก็ไม่รู้ ผลกระทบคือถ้าเค้าเชื่อเรา เค้าจะดวงดี เค้าจะดวงตก เกิดการตัดสินใจอะไรขึ้นมาจากคำพยากรณ์ของเรา เพราะฉะนั้นเนี่ยเราต้องเชื่อมันก่อน ก่อนที่พี่จะเชื่อ พี่ก็ต้องเรียนรู้ตัวเอง ศึกษาให้เต็มที่ ไม่ด่วนเชื่อแม้แต่ว่าจะเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียง

เราเชื่อต้องมาจากประสบการณ์ ต้องมาจากปัญญา ความรู้สึกเคารพนับถือจากหลักวิชา แล้วมันจะเกิดขึ้นเอง แล้วเราก็พบว่าครูโหรที่เรานับถือได้จริงๆ เค้าพูดในสิ่งที่มันเชื่อได้จริงๆ อะไรแบบนี้ค่ะ เพียงแต่ว่าโหราศาสตร์ใดๆ เนี่ยมันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ด้วย เพราะงั้นพี่ถึงต้องบอกว่ามันต้องมีวิจารณญาณ แม้แต่ตัวพี่ เวลาพี่ดูให้คนอื่นก็จะบอกเสมอว่าอย่าด่วนเชื่อ คือคำว่าคำพยากรณ์เนี่ย เอาไว้ฮีลตัวเอง มันใช่ไม่ใช่ ถ้ามันใช่ สมมุติเราบอกว่าคุณกำลังจะดวงตก คุณจะมีปัญหาการเงิน พี่คิดว่าสิ่งนี้คือชุดข้อมูล แล้วเราไปดูชีวิตตัวเองว่าตอนนี้เราอยู่ในจุดที่เรามีความเสี่ยงเรื่องเหล่านี้เหมือนกันมั้ย แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราสบายดี คำพยากรณ์พวกนี้ก็อาจไม่เกิดกับเราก็ได้ ก็ดีซะอีก เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่มีปัจจัยอื่นๆ ด้วยนะคะเรื่องชีวิตของคน ไม่งั้นทุกคนก็จะรวยเท่ากันหมดชีวิตดีเท่ากันหมด ไม่มีใครมีปัญหาชีวิตบนโลกใบนี้ โหราศาสตร์ การพยากรณ์ ไสยศาสตร์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรใดๆ มันทำงานในวิธีเดียว แล้วเราจะมีเกิดแก่เจ็บตายกันทำไม”

Image Not Found

โหราศาสตร์ไทย เรียนด้วยตนเองเล่มเดียวจบ(ฉบับทูลเกล้าถวาย)สิงโต สุริยาอารักษ์

5. เรื่องของบุญกรรม ทำให้ชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน จริงมั้ยคะ ?

“ใช่ แต่ว่าเรื่องของเวรกรรมเนี่ยมันเป็นฐานรากของสังคมเราเลยนะ เราอยู่พุทธศาสนาเนี่ยมันเป็นศาสนาที่พูดถึงเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด เพราะว่าอย่าลืมว่าเรามีเรื่องของชาดก ชาดกก็คืออดึตชาติ ของพระพุทธเจ้าหรือก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเนี่ย แปลว่าเราอยู่ในฐานรากของการเวียนว่ายตายเกิด เพราะฉะนั้นเรื่องของวิบากกรรม เวรกรรมต่างๆ เป็นของอนุมานได้ว่ามันมีอยู่ และการแผ่เมตตาตั้งแต่ตนเอง ไปจนถึงคนรอบข้างไม่มีอันประมาณ ไปจนถึงสัตว์ที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มองไม่เห็นใดๆ แบบเนี่ยอ่ะค่ะ แปลว่าการที่รู้ถึงการมีอยู่ ของสิ่งที่มันมีภพชาติ สิ่งที่อดีตกาล เพราะฉะนั้นเนี่ย แต่ว่าวิบากกรรมใดๆ เนี่ยมันไม่ได้อธิบายได้ว่า 1 + 1 เป็น 2 ไม่ได้บอกว่าเราเกิดมามีกรรมทุกคน ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมจำนนกับเวรกรรมเพราะไม่มีใครบอกคุณได้อย่างชัดเจนว่าเวรกรรมของคุณคืออะไร แล้วภพชาติของเรามันมีกี่ร้อยชาติ เวลาอาจจะไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรง ภพชาติอาจไม่ได้เดินทางเป็นเส้นยาว มันอาจจะเป็นเลเยอร์ที่ซ้อนกันอยู่ก็ได้ เราอาจจะอยู่ในภพชาติที่เป็นระนาบแบบเลเยอร์หนึ่ง ภพชาติของเรา เราอาจจะเคยเกิดเป็นแมลงก็ได้ เราอาจจะเคยเกิดเป็น ก้อนหินก็ได้ หรือเป็นอื่นๆ เป็นสปีชีส์อื่นก็ได้ ไอ้ตรงเนี่ยมันไม่มีใครรู้

ดังนั้นเวลาคนพูดถึงภพชาติใดๆ หรือชีวิตเกิดมามีกรรมเนี่ย มันเป็นผลยืนยันไม่ได้ จับต้องไม่ได้ แต่พี่คิดว่าเราสามารถที่จะทำความเข้าใจกับมัน ให้เข้าใจว่าเวรกรรมใดๆ ที่ติดตัวเรามาเนี่ยมันก็เห็นตั้งแต่ต้นคือเราเลือกเกิดไม่ได้ ทำไมเราไม่ไปเกิดประเทศนั้น ทำไมเราไม่ไปเกิดประเทศที่สภาพสังคมเป็นแบบนี้ แล้วเรายังไปเกิดกับพ่อแม่แบบนี้ นิสัยใจคอแบบนี้ซึ่งมาจากวงศาคณาญาติสองฝ่าย แล้วเกิดมาเป็นตัวเรา เราย่อมอยู่ในวงศาคณาญาติ วัฒนธรรมย่อยของครอบครัว ลูกคนจีนเชื้อสายจีนก็วัฒนธรรมนึง พี่เกิดล้านนา พี่ก็จะเจอชุดวัฒนธรรมนึง คนสามจังหวัดชายเเดนภาคใต้ก็จะเจออีกชุดวัฒนธรรมนึง นี่คือสิ่งที่เราเติบโต เกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ใช่มั้ยว่า ทำไมเราต้องเกิดที่นี่ เรียนที่นี่ แต่สิ่งที่บอกว่ามันคือแผนที่ฉบับย่อย แต่เราในฐานะหนึ่งปัจเจกบุคคลเมื่อเราไปเรียนหนังสือ เราต้องสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้น กับครู เราเลือกไม่ได้นะ แต่ที่เรากำหนดได้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่อยู่รอบตัวเรา เราเรียนหนังสือเราชอบสิ่งที่เราเรียนมั้ย เราคิดยังไงกับครู ความคิดเหล่านี้มันคือความคิดที่เป็นของเรา แต่ก็อย่าลืมว่าเราก็จะถูกหล่อหลอมด้วยความคิดอีกชุดนึง ของครอบครัวเรา ของสังคมที่เราได้พบเจอ ประเทศชาติ การเมือง เราไปโรงเรียน เราอยู่ในสังคมชาวพุทธ เราก็จะถูกดูดกลืนไปในศาสนพิธีแบบพุทธ เราอยู่ในสังคมที่เทิดทูนชาติพระมหากษัตริย์เราก็จะเคารพอะไรแบบนี้น่ะค่ะ ถ้าเราไปอยู่อีกประเทศนึง วัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกัน แบบนี้แหละที่เราเรียกว่ากรรม กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มันคือรหัสพันธุกรรมของเรา ทำไมเราเกิดมาแล้ว มีปัญหาสุขภาพจิตตั้งแต่ต้น หรือว่าเราอาจจะได้ยีนส์เด่น ยีนส์ด้อย พันธุกรรมเหล่านี้มันก็คือกรรม ในโหราศาสตร์ พันธุ หมายถึง ครอบครัว รากฐาน กรรมคือการกระทำ”

6. ดวงดี กับดวงไม่ดี ในความหมายของนักพยากรณ์ หมายถึงอะไร ?

“ถ้าในดวงชะตาของคนเรา ในแง่ของการพยากรณ์ มันจะมีจุดที่เราดูได้ว่า ช่วงไหนเราดวงตก หรือเราดวงดี เราเข้มแข็งตามไปตามดวงต่างๆ ที่อยู่ในตำแหน่งที่ดี แล้วก็ส่งพลังบวกขึ้นไปให้เราอ่ะค่ะ หรือว่าบางช่วงที่ดาวต่างๆ เข้ามุมอับ หรือว่าทำระยะเชิงมุมที่ไม่ดี จริงๆ มันก็เหมือนกับสภาพแวดล้อมอ่ะค่ะ เปรียบง่ายๆ เหมือนว่าพี่เป็นคนคนเดิมนะ แล้วพี่มีบ้านอยู่หลังเดิม ช่วงหน้าฝน แล้วพี่อยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อดินถล่ม หรือว่าพี่ไปเจอพายุฝนที่รุนแรง ก็จะเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า เรากำลังอ่อนแออยู่ เรากำลังดวงตกอยู่ สภาพแวดล้อมก็จะเป็นภัยอะไรนิดเดียว บ้านของเราก็อาจจะพังได้ง่าย ลมพัดมาบ้านเราก็อาจจะพังได้ง่าย กับเราอยู่ในฤดูกาลที่มันแข็งแรง อากาศดี ไม่มีฝุ่น PM อะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นเนี่ยก็อาจเป็นช่วงที่เราดวงดี ก็อาจแปลว่าเราอาจจะทำอะไรๆ ได้สะดวกมากขึ้น ดวงตกดวงดีในทางโหราศาสตร์ มันมาจากว่า ระยะเชิงมุมของดวงดาวต่างๆ น่ะค่ะ ที่ส่งอิทธิพลต่อเรา การกระทบกันของดาวต่างๆ ที่ มีท่าว่ามันเหมือนเป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยน่ะค่ะ ที่ทำระยะชั่วโมงพุ่งตรงหาเราทางด้านบวก และด้านลบจังหวะที่เราดวงตกก็คือเราได้อิทธิพลจากสิ่งร้ายๆ ที่เข้ามาหาเรา เหมือนอยู่ดีๆ หน้าบ้านเราเค้าก็มาทำถนน อาจจต้องเจอฝุ่นไปตลอดเวลา จะค้าขายก็ไม่สะดวก ทำอะไรก็ไม่ได้ อะไรแบบนี้ ก็เรียกว่าเป็นช่วงที่ดวงไม่ดี”

7. อยากให้ช่วยนิยามคำว่า สายมูเตลูคืออะไร ? ให้ฟังเพิ่มเติมหน่อยค่ะ

“สายมูเตลูคืออะไร พี่คิดว่าสายมู เป็นคำมาใหม่ ที่ย่อมาจากคำว่า มูเตลู ที่เป็นชื่อหนังอีกทีนึง สายมูตอนนี้ก็คือใช้อย่างกว้างขวาง พี่คิดว่ามันหมายรวมไปถึง สิ่งใดๆ ที่เป็นโหราศาสตร์ เป็นไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่มันจับต้องไม่ได้ เป็นสิ่งที่จะมาเสริมดวง ความรู้สึกตอนนี้คือสายมู คืออะไรก็ได้ที่จะมาเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น ราบรื่น ให้เราได้ในสิ่งที่เรามุ่งหวัง พี่เข้าใจว่า จริงๆ ก็เหมือนกับการใช้ศาสตร์เหล่านี้ คือโหราศาสตร์ มันก็มีทั้งศาสตร์ไทย จีน ฝรั่ง สากล ล้านนา อะไรแบบนี้ค่ะ แต่ทุกอย่างตอนนี้มันก็รวมกันเป็นความมู มูในที่นี่ก็น่าจะหมายถึงการใช้ศาสตร์ทางเลือกที่เป็นศาสตร์เล้นลับ หมายถึงว่าเรากำลังขอพลังจากสิ่งที่เล้นลับ จับต้องไม่ได้ เอามาเสริมดวง”

Image Not Found

หนังสือ ไพ่ยิปซีสำรับเงินล้าน (บรรจุกล่อง พร้อมไพ่ยิปซี) : โหราศาสตร์ ไพ่ยิปซี ดูดวง การทำนายดวงชะตา

8. การดูดวง กับสายมู มีประโยชน์ และข้อควรระวังอย่างไรบ้าง ในมุมมองของคุณการะเกต์

“พี่โตมากับครอบครัวสายมู ประโยชน์คือเยอะมาก อย่างที่พี่บอกมันเหมือนแผนที่ คือถ้าเรารู้จักแผนที่ชีวิตเราระดับนึง เหมือนว่าเรามีข้อมูล หรือ data ชุดนึง เพียงแต่ว่ามันเป็น data ที่มีการประกอบร่างกัน เก็บข้อมูลมันจะมี platform หนึ่งอยู่แล้ว ประโยชน์ของมันคือทำให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ เราสามารถวางแผนกับมันได้ เหมือนถ้าสมมุติว่า พี่ไปดูดวงมาแล้วเจอว่า ในพื้นดวงพี่เนี่ยจุดเด่นของพี่คืออะไร จุดด้อยคืออะไร แล้วพี่เอามันมาวิเคราะห์ต่อ พี่อาจจะออกแบบชีวิตตัวเองให้มันสอดคล้องกับสิ่งที่เป็น data ของเรามันอาจจะทำให้ชีวิตเราราบรื่น และไปได้ดีมากขึ้น อันนี้คือประโยชน์ของมัน

คือพี่มองว่าทุกคำพยากรณ์มันคือ data มันมาจาก platform หนึ่ง ส่วนโทษของมันเหมือนอื่นๆ เลย เช่น เราจะไปเล่นหุ้น แต่เราไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย มันก็เกิดโทษ ถ้าหมอดูบอกเราว่าทำอันนี้แล้วรุ่ง แล้วเราเชื่อหมอดู แต่ไม่เชื่อตัวเอง ไม่เชื่อข้อมูลชุดอื่นๆ แบบขายก๋วยเตี๋ยวแล้วจะรวย แต่ทำก๋วยเตี๋ยวไม่เป็น ทำเลยังดูไม่เป็นเลย ยังไม่มีไอเดียอะไรเลย รู้แต่ว่าหมอดูบอกว่าทำก๋วยเตี๋ยวแล้วรวย ถามว่าจะรวยมั้ย อาจจะรวยก็ได้ นี่ไงความที่เราไม่รู้อนาคตแต่มันจะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนต้องรู้ตัวเองก่อนด้วยนะ แล้วถ้าคุณมีเงินหนึ่งก้อนเนี่ย มีคนเคยถามพี่ เค้ามีเงินเก็บก้อนใหญ่ก้อนเดียว จะเอาเงินไปทำศัลยกรรมจะดีมั้ย เค้าควรทำมั้ย ถ้าศัลย์แล้วคุณใช้หน้าตาหาเงิน ก็ทำไป แต่ถ้าคุณทำแค่เพราะมันสวย แล้วเงินก้อนสุดท้ายก็โอเคที่จะเสียไป ก็ทำไป มันเป็นการตัดสินใจของคุณ​ ถามว่าข้อควรระวังมันอยู่ตรงไหน ก็อยู่ในทุกจุด ตั้งแต่ที่คุณได้คำพยากรณ์ไป ประโยชน์หรือโทษของมันอยู่ที่การใช้วิจารณญาณ อยู่ที่การใช้ชุดคำพยากรณ์นั้น แม้แต่ตัวพี่เองก็ตาม คือ คุณไม่ต้องเชื่อหมอดู  แต่ถ้าคุณได้รับข้อมูลแล้วมันเกิดขึ้นจริงๆ มันสอดคล้อง อันนั้นเราค่อยเชื่อได้ หรือมาขอคำปรึกษาใดๆ บางทีเราก็ต้องมีชุดความคิดที่หนักแน่นของเราด้วยเหมือนกันนะ อย่าลืมว่าเราเอาชุดความคิดเหล่านั้นไปประกอบการคิด การตัดสินใจ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่าตัดสินใจด้วยคนอื่น แต่เราก็ไม่ควรตัดสินใจด้วยการมโน”

นอกจากนี้คุณการะเกต์ยังย้ำเรื่องของความรับผิดชอบในเรื่องของการใช้โหราศาสตร์ในการพยากรณ์ทั้งเรื่องที่หลายคนอาจมองข้ามอย่างเรื่องความรัก การไม่ดูดวงคนตาย และเด็ก “พี่มองว่าการใช้ศาสตร์พยากรณ์ต้องระวังการพยากรณ์ที่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ แล้วก็นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ แล้วก็การนำไปสู่ความเชื่อที่ขาดวิจารณญาณ แล้วก็สิ่งพวกนี้พี่ก็พยายามเรียนรู้กับมัน ก็ไม่จบนะคะ เพราะว่าชีวิตคน สมมุติว่า 10 คน ก็ไม่เหมือนกันสักคน”

9. ช่วงวัย 30 ของคุณการะเกต์ เป็นยังไงบ้างคะ สิ่งที่ได้เรียนมา กับหน้าที่การงานเป็นไปตามที่ฝันไว้มั้ย ?

“สามสิบต้นๆ พี่ก็อยู่ในสายพยากรณ์แล้ว ช่วงสามสิบไปหาสี่สิบ เป็นช่วงชีวิตที่นิ่งๆ น่ะค่ะ คือทำงานศิลปะ มีช่วงวาดรูป เขียนหนังสือมากหน่อย ก็มีนวนิยายให้ตีพิมพ์ แล้วก็ มีงานสายพยากรณ์ก็ดูดวงคนที่จองมารายวัน ก็เป็นชีวิตที่นิ่งพอสมควร หลักๆ ก็อยู่ที่การทำงาน การแก้ปัญหาให้ชีวิตคนอื่น แต่ที่น่าสังเกตอันนึงคือตั้งแต่เด็กจนโต พี่จะอยู่กับการตอบปัญหาชีวิตคน เหมือนที่บอกช่วงวัยรุ่นก็ทำคอลัมน์ตอบปัญหาชีวิตวัยรุ่น พี่ไปเป็นบรรณาธิการในกลุ่ม LGBTQ ช่วงนึง ต้องไปดูแลปัญหาและชีวิต การถูกเลือกปฏิบัติ ทำให้มีปัญหาจิตใจ ช่วงสามสิบกว่าก็ยังมีกับปัญหาของคน ดูดวง ให้คำปรึกษา หาทางออกต่างๆ”

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

10. คุณการะเกต์ศึกษาโหราศาสตร์แล้ว มีการศึกษาธรรมะร่วมด้วยมั้ย ?

“ธรรมะอยู่ในชีวิตของพี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนะ ไอดอลของพี่ตอนเด็กๆ คือ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พี่อยู่กับพ่อที่เป็นสายศาสนา พี่สนใจธรรมะในตอนเด็ก อาจจะเป็นเพราะว่าพี่อ่านชาดก อ่านโน่น อ่านนี่ แล้วก็ตอนวัยรุ่นอย่างที่บอกคือชีวิตพี่ไม่ค่อยราบรื่น ค่อนข้างโลดโผน ทำให้เราอยากรู้ว่ามันเป็นอะไรยังไง แล้วก็พี่ก็รู้สึกว่าคนก็สนใจเรื่องของศาสนา เพราะว่า คือว่าศาสนาอาจจะเป็นตัวหนึ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตหรือไม่ ค้นลึกเข้าไป พี่ก็สนใจ พี่เป็นคนอ่านหนังสือธรรมะเยอะมาก ติช นัท ฮันห์  ท่านพุทธทาส พี่ก็อ่าน พี่อ่านพระไตรปิฎก พี่อ่านทุกอย่าง

พี่คิดว่าศาสนาพุทธน่าสนใจนะคะ แล้วพี่ก็อยู่ในสายพิธีกรรม สวดมนต์ แล้วพี่ก็มาในสังคมที่ถือผีด้วย แล้วพี่คิดว่าพุทธของไทย คือเป็นพุทธ ผสมผี ผสมกันอยู่ พี่คิดว่าศาสนาควรเป็นสิ่งที่เราเลือกได้เอง หรือว่าเราสามารถมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ศาสนาอื่นๆ ได้ พี่เป็นคนไม่เห็นด้วยกับการที่จะมีศาสนาประจำชาติ ศาสนาควรเป็นเรื่องเปิดกว้าง แล้วก็ควรจะมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา นับถือศาสดาใดๆ แล้วก็ คือทำด้วยเหตุด้วยผล”

Image Not Found

พระเจ้า500ชาติฉบับสมบูรณ์ครบ547ชาตินิทานชาดกจากพระไตรปิฎก

11. การเป็นนักพยากรณ์ ต้องฝึก และพัฒนาตัวเองยังไงบ้าง ?

“พี่คิดว่าการนักพยากรณ์มันเป็นการเรียนรู้ที่ไม่จบอย่างหนึ่งนะ การพยากรณ์ในโลกใบนี้มันมีรายละเอียดเยอะมาก ตำราเยอะมาก มีหลายสาย ถ้าเป็นไปได้ก็ควรศึกษาให้ได้มากที่สุด อีกอย่างก็คือการทำความเข้าใจกับสังคมในปัจจุบัน เราอย่าตกลงในบางอย่างเช่น ค่านิยมในเรื่องของสังคม อย่างตอนนี้เราควรจะคำนึงถึงสิทธิต่างๆ มากขึ้น เราไม่ควรจะไปอยู่ในชุดความคิดเก่า เรื่อง gender ปิตาธิปไตยคืออะไร ก็ควรจะทำความเข้าใจด้วย ความเหลื่อมล้ำคืออะไร Soft Power คืออะไร การอัปเดต firmware เหล่านี้มันมีผลต่อนักพยากรณ์ที่จะสื่อสารกับคน หรือแม้แต่การทำความเข้าใจเรื่องสังคม เศรษฐกิจต่างๆ ก็มีความจำเป็น เหมือนโลกยุคโควิด มันเกิดสถานการณ์แบบนี้กับคนทั้งโลก เวลาทั้งคนดวงตก ดวงดี ตรงนั้นมันมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ถ้าเราไม่รู้ว่ามันมีโควิดเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ คิดดูสิว่าเราจะให้คำแนะนำเค้ายังไง หรือเราก็รู้แค่ว่ามันมีโควิด แต่ก็ไม่รู้ว่าโควิดคืออะไร แล้วเค้ามาถามว่าเค้าป่วยอยู่ เค้าติดอยู่ พี่คิดว่าการที่เราทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ให้ทันกับสิ่งต่างๆ มันเป็นเรี่องสำคัญ ไม่ใช่เพื่อว่าเอาไว้ตอบเอาใจคนนะ แต่ว่าเวลาเราทำความเข้าใจกับมันก่อน สมมุติว่าเรื่องประเด็น gender นะ ถ้ามีคนมาถามเรื่องลูกเป็นเกย์ แต่ว่านิยายวายตอนนี้ขายดีมากเลยนะ เรามีชุดความคิดของเรา แต่ถ้าหมอดูคนนั้นเป็น homophobia เด็กคนนี้มีกรรม ต้องแก้กรรม ต้องสะเดาะห์เคราะห์ พี่คิดว่าการที่หมอดูทำความเข้าใจว่า LGBT คืออะไร อัตลักษณ์ทางเพศคืออะไร การที่ไม่เรื่องเพศไปตัดสินคนนั้น เค้าอาจจะได้คำตอบที่ดีสำหรับคนนั้นกลับไปก็ได้ อาจจะบอกได้ว่าดูดวงไปแล้วลูกคุณไม่ได้มีปัญหา อย่ากดดันลูก ไม่ให้ลูกเครียด”

12. ในวัย 40 ของคุณการะเกต์ เป็นยังไงบ้าง วิธีคิด การใช้ชีวิต และมุมมองในการมองคน และมองงานเปลี่ยนไปแค่ไหน ยังไงบ้าง ?

“ไม่เปลี่ยน ตอนนี้พี่อายุ 52 – 53 พี่มีชุดความคิดบางอย่างตั้งแต่พี่อายุ 17 เป็นต้นมา พี่ไม่เปลี่ยนนะ เพราะว่าเรามองเห็นชีวิตมนุษย์น่ะค่ะ เห็นสิ่งที่เป็นรากเหง้าของชีวิต เห็นคนที่มีความทุกข์ ปัญหา คือเราจะไม่ได้มองตัดสินเค้าจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราจะมองว่าปัจจัยจากสิ่งพวกนั้นเป็นยังไง แต่มันมีโครงสร้างสังคมครอบเค้าอยู่นะ มันจะมีความเข้าใจ ซึ่งพี่มองว่าพี่มีสิ่งพวกนี้ตั้งแต่พี่อายุน้อยจนถึงปัจจุบัน มันเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยน แล้วก็ที่พี่บอกว่าพี่มีไอดอลเป็นพระ เพราะพี่รู้สึกว่าชีวิตมนุษย์มันคือความทุกข์ มันเป็นความทุกข์ที่พี่สงสัยไงว่า คนเราเกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วเราต้องเกิดมาทำไมกัน แล้วทำไมเราต้องเกิดมาด้วย คำถามยอดนิยม สัจธรรมคืออะไร พอพี่โตมา เราก็รู้ว่า จริงๆ แล้ว วัฏจักรชีวิตมนุษย์มันไม่เปลี่ยน ความสุข ความทุกข์อ่ะ มันเป็นของคู่โลก แล้วคนเราทุกคนมันไม่มีใครได้ดั่งใจ เราจะไม่ได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลานะคะ ความทุกข์ ความสุข เป็นของหมุนเวียน ชีวิตคนมีขึ้นมีลง ดวงตก ดวงดี มันมีจังหวะชีวิต แล้วก็สิ่งหนึ่งที่โหราศาสตร์การพยากรณ์ หรือไสยศาสตร์ให้ได้น่ะค่ะ ก็คือ การให้ความหวัง การให้พลัง การให้กำลังใจ การให้ความอบอุ่นในจิตวิญญาณ พี่คิดว่าสิ่งเหล่านี้มันเหมือนเป็นเพื่อน มันเป็นสิ่งที่ทำให้คนมีกำลังใจที่จะไปต่อ

พี่คิดกับสิ่งพวกนี้ว่า แก่นแท้ของชีวิตมันคือปัจจุบันขณะ มันคือการอยู่กับมัน แล้วเอาอดีตเราเป็นประสบการณ์ เป็นรากฐาน เป็นสิ่งที่เราต้องสรุปบทเรียนกับมัน แต่อย่าไปเชื่อมันทั้งหมด คนบอกว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนจนเชี่ยวชาญ มันไม่ใช่ทั้งหมด จงดูในปัจจุบัน แล้วเราเดินไปสู่อนาคต ตั้งแต่อายุ 17 พี่ก็คิอสิ่งพวกนี้จนมาถึงปัจจุบัน แล้วพี่ก็ยังชอบการอ่าน การเขียนหนังสือ พี่ก็ยังมาทำงานเหมือนที่พ่อ ที่แม่เคยทำ แล้วพี่ก็คิดว่าสติปัญญากับสายมูมันไปด้วยกันได้”

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

13. ตอนนี้มีความสุขกับอาชีพนี้มั้ย ในวัย 50 แล้วมีวางแผนในอนาคตจากนี้ยังไง ?

“มีโปรเจคที่พี่อยากทำให้ลุล่วงก็คือ สิริเมืองพร้าวน่ะค่ะ เป็นพื้นที่ที่พี่อยากให้เป็นห้องสมุด เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ส่วนหนึ่งก็คือการทำงานสำหรับชุมชนด้วยน่ะค่ะ คือพี่อยากให้มันเกิดลุล่วง เพราะว่ามันทำให้เกิดการสร้างงานในชุมชน มันทำให้เด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกลได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาต่างๆ อย่างที่พี่ทำห้องสมุด เรามีกิจกรรมสำหรับเด็ก เพื่อส่งเสริมให้เด็กๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านห่างไกลเนี่ยมีทางเลือกมากขึ้น แล้วพี่ก็อยากให้งานด้านสายมู หรือจิตวิญญาณต่างๆ ได้รับการยอมรับ ไม่อยากให้ถูกตีตรา พี่อยากทำให้โหราศาสตร์ได้รับการยอมรับ ไม่อยากให้ถูกจำกัด

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

แล้วพี่ก็อยากให้งานพยากรณ์ต่างๆ ที่พี่ทำเป็นตัวแทนของการใช้ความรู้ พี่โตมากับการศึกษานอกระบบ ความรู้ไม่ได้จำกัดแค่ในสถานศึกษาและใบปริญญา อย่างตอนนี้พี่ก็เปิดคอร์สสอนดูดวงออนไลน์ มีสอนเบื้องต้น แล้วก็มีหลักสูตรที่เฉพาะเจาะจงออกไป พี่ก็ตั้งใจนะ เพราะพี่คิดว่าพี่มีความรู้ระดับนึง แล้วพี่ก็คิดว่าอยากแบ่งปัน อยากถ่ายทอดความรู้ตรงนี้ออกไปด้วย พี่คิดว่าคนเราไม่ควรเก็บความรู้ไว้กับตัว แล้วก็ตายจากไป ควรมาแบ่งปันกัน พี่ก็เรียนรู้จากครูบาอาจารย์ ตำรับตำรา แต่การถ่ายถอดความรู้ทางโหราศาสตร์มันต่างจากวิชาชีพอื่นๆ ตรงมันมีเป็นเรื่องของชีวิตจิตใจอย่างที่บอก เพราะฉะนั้นในการสอนมันรวมไปถึงจริยธรรม การทำความเข้าใจประเด็นต่างๆ หรือว่าการนำไปใช้ ไม่ใช่คิดว่าการดูดวงมันง่าย”

Image Not Found

หนังสือ Mindset ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา / Carol S.Dweck / วีเลิร์น (WeLearn)

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

14. คำว่า Mindfulness กับอาชีพนักพยากรณ์ จำเป็นมั้ย เป็นสิ่งสำคัญแค่ไหน และนำไปใช้ยังไงบ้าง ?

“สติ คือ อะไร สำหรับพี่ ถ้าเราจะนิยามการมีสติ การมีสมาธิ คือพี่คิดว่ามันจำเป็นอยู่แล้วนะ แล้วก็จำเป็นอยู่ในทุกด้านของชีวิตด้วย พี่สังเกตว่า ของไทยจะมีคำว่า สติปัญญา มันจะมาคู่กัน แปลว่า เราต้องมีสติ เมื่อมีสติมันก็จะเกิดปัญญา แต่ในขณะเดียวกันสติก็มาจากปัญญาด้วยนะ ในภาษาไทยคำว่า สติ มันแคบอ่ะ มันทำให้คนรู้สึกว่า สติ มันต้องมานั่ง มาเดินจงกลม  ระลึกลมหายใจ แต่จริงๆ ความหมายของมันคือ การรู้ตัว การรู้เท่าทันความคิด การรู้เท่าทันความรู้สึก และก็การโฟกัสอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นปัจจุบันขณะ พี่คิดว่างานสายพยากรณ์ยิ่งสำคัญมากเลยนะ อย่างเช่น เวลาเราฟังเรื่องราวของคนน่ะค่ะ เราต้องโฟกัสกับเค้า ต้องมีสติ และรับรู้ว่านี่คือชีวิตของคนคนนึง นี่คือเรื่องราวของเค้า ทุกข์ของเค้าคืออะไร คำตอบของเค้าคืออะไร เราต้องมีสติในการจับประเด็นเรื่องราวของเค้า แล้วก็ดูว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้เค้าคืออะไร แล้วเราเองจะต้องทำอย่างไรที่เราจะโฟกัสชุดความคิดของเราให้มันไปตรงเค้าที่สุด  เพราะฉะนั้นก็แปลว่าเอาเข้าจริงๆ เราควรจะมีสติ ระลึกอยู่เสมอว่าเราอยุ่ในฐานะของผู้ให้คำพยากรณ์  อ่านไพ่ อ่านดวงชะตาของเค้า เราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเราของเค้า เราต้องมีความเป็นกลาง ถ้าจะให้อธิบายว่า สติ คือ อะไร พี่ว่าอธิบายยาก”

เรียกว่าควรมีสติทั้งผู้พยากรณ์ และผู้รับคำพยากรณ์ และการมีสติเป็นเรื่องที่ควรฝึกปฏิบัติเพื่อให้มนุษย์ดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น และมีความสุขได้มากขึ้น

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร

15. จากวัยเด็กจนเดินทางมาถึงตอนนี้แล้ว คุณการะเกต์มีอะไรอยากจะบอกตัวเอง หรือขอบคุณตัวเองบ้างมั้ยคะ ?

“พี่คิดว่า พี่เป็นมนุษย์ที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แล้วถ้าขอบคุณ พี่ว่าอาจจะไม่ใช่ขอบคุณตัวเองนะ พี่อาจจะอยากขอบคุณพ่อแม่พี่ ขอบคุณเพื่อนๆ ขอบคุณกัลยาณมิตร ขอบคุณที่เค้าซัพพอร์ทเรา เคียงข้างเรา ลมใต้ปีกทั้งหลาย พี่คิดว่าพี่ขอบคุณคนเหล่านี้ ขอบคุณสิ่งใดๆ ก็ตามที่ทำให้พี่สามารถเดินตามมาได้เรื่อยๆ ได้ในชีวิตของพี่ แล้วก็มีโอกาสวันนึงที่ได้มาทำงาน และได้เป็นส่วนร่วมในการแก้ปัญหาชีวิตผู้คนในทางใดทางหนึ่ง หรือแม้แต่ทำเรื่องที่มันสร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น และพี่คิดว่าสิ่งที่พี่ชอบ ชีวิตพี่เองนะ ก็คือพี่เป็นคนไม่มีความอับอายในชีวิตตัวเอง คือพี่ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นความละอายแก่ใจว่าเราได้ทำ พี่คิดว่าพี่ทำทุกอย่างเท่าที่พี่ทำได้ ในแต่ละช่วงเวลา ไม่มีกลับไปนึกเสียใจว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ต่อให้มันล้มลุกคลุกคลาน พี่ไม่ได้คิดว่าเราเลิศเลอเพอร์เฟคอะไรนักหรอก แต่พี่มองว่าทุกอย่างมันเป็นการเรียนรู้ มันเป็นประสบการณ์ ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น มันมีเหตุมีผลของมัน พี่ก็ขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ อยากทำห้องสมุด อยากทำมาตั้งแต่อายุ 17 เป็นคนไม่ได้เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ ด้วยนะ พี่คิดว่าเรื่องของสุขภาพกายใจเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะมีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี และทำให้คนอื่นๆ มีสุขภาพที่ดีไปด้วยกันได้ อะไรที่ทำได้พี่ก็อยากแบ่งปันไป อยากทำมันให้ดีที่สุด”

16. คุณการะเกต์มีอะไรอยากฝากถึงคนที่ชอบดูดวงบ้างมั้ยคะ ?

“จงมีวิจารณญาณ แล้วก็เช็คด้วยตัวเอง เทียบตัวเอง แล้วคนเราพอถึงที่สุดเราจะรู้จักตัวเองดี แต่ก็มีนะที่หลอกตัวเอง แต่ว่าถึงที่สุดให้ฟังใจตัวเอง ไปดูหมอดูดวงอะไรก็ตาม บอกว่าดวงขึ้น ดวงตก ให้มองว่ามันคือชุดข้อมูลนึง วิเคราะห์กับมัน คิดกับมัน จับประเด็นกับมันแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่าให้คนอื่นตัดสินใจแทนเรา ไม่ใช่ให้หมอดูตัดสินใจแทนเรา ถึงที่สุดทำหรือไม่ทำ คนที่เราผิดชอบก็เป็นตัวเรา เพราะฉะนั้นใช้วิจารณญาณตั้งแต่ต้น อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ”

17. ถ้าจะติดตามคุณการะเกต์ จะติดตามได้ที่ไหนบ้าง ?

“ตอนนี้ก็มี Facebook Page ชื่อว่า การะเกต์ พยากรณ์ แล้วก็มีไลน์ก็สามารถติดตามได้ มีดวงประจำใน Kapook แล้วก็ดวงประจำปี 2567 ก็เขียนอยู่ในศาสตร์แห่งโหร ของสำนักพิมพ์มติชนค่ะ แล้วก็พี่กำลังเปิด session ใน open chat กับกลุ่มปิดใน facebook ให้เค้าไปอ่านดวงประจำปี 2567 มีค่าสมาชิก 200 บาท แค่นั้นแหละ”

Image Not Found

อานาปานสติ สำหรับคนทั่วไป ปกอ่อน

สายมูเตลูคืออะไร, สติ คือ อะไร
Inspire Now ! : อาชีพนักพยากรณ์หรือว่าหมอดู เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เรียกว่าเป็น “ผู้นำทางความคิด” ที่แฝงตัวอยู่ในชีวิตของคนทุกชนชั้น ดังนั้นหาก นักพยากรณ์คนนั้นมีวิธีคิดที่ดี มองโลกตามความเป็นจริง มีทัศนคติที่ทันต่อยุคสมัยที่ปรับเปลี่ยนไป ก็จะเรียกว่าเป็นคนสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงผู้คน และสังคมให้มีเกราะทางจิตใจ และปรับวิธีคิดได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ดังนั้นการอัปเดตตัวเองอยู่เสมอ ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การฟังจากผู้มีประสบการณ์จากหลากหลายอาชีพ ก็จะทำให้เรารู้เท่าทัน และมีความมั่นใจในการจัดการตัวเอง และพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งกว่าเดิมได้ แน่นอนว่าวิธีการเหล่านี้ไม่ใช่แค่ในนักพยากรณ์เท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกคน ทุกอาชีพที่มีความตั้งใจในการพัฒนาตัวเอง

DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? เรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของคุณการะเกต์ให้แรงบันดาลใจกับคุณได้ในแง่มุมไหนบ้าง รู้กันแล้วว่า สายมูเตลูคืออะไร ยังไงก็มูอย่างมีสติ แล้วมาคอมเมนต์พูดคุยกันกับเรานะคะ ♡

ขอบคุณภาพประกอบสวยๆ จากคุณการะเกต์ และ Facebook Page สิริเมืองพร้าว

Facebook Comments

คนชอบเขียนที่ไม่ค่อยอยู่นิ่ง หลงรักดอกไม้ โดยเฉพาะไฮเดรนเยีย สนใจการพัฒนาตัวเองและใจเต้นทุกครั้งเมื่อได้ออกเดินทาง